วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

3ทำเลทองบูม

บิ๊กอสังหาฯ ฟันธงจุดตัดรถไฟฟ้า ดันที่ดิน 3 ทำเลทอง แห่งใหม่เมืองกรุง
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการผู้จัดการ สายงานคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า แนวโน้มทำเลที่ใกล้จุดตัดสถานีของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ได้แก่ บริเวณบางซื่อ เตาปูน และบางหว้า จะเป็นจุดเชื่อมต่อสำหรับการเดินทางที่สำคัญของเมืองในอนาคต และจะทำให้ทำเลดังกล่าวมีโอกาสในการพัฒนาเหมือนกับทำเลที่เป็นจุดตัดสถานี รถไฟฟ้าในปัจจุบัน เช่น จุดตัดบริเวณสถานีสยามสแควร์ และบริเวณสถานีอโศก เป็นต้น
สำหรับทำเลบริเวณรถไฟฟ้าสถานีบางซื่อ ในอนาคตจะเป็นจุดตัดสำคัญของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) กับเส้นส่วนต่อขยายจากบางซื่อ-ท่าพระ และเส้นสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยที่ดินบริเวณบางซื่อส่วนใหญ่เป็นที่ดินของรัฐ และของกลุ่มบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย ทำให้การพัฒนาจึงขยับไปอยู่บริเวณถนนประชาราษฎร์สาย 1-2 แทน และคาดว่าบริเวณนี้จะคึกคักมากขึ้น โดยราคาที่ดินในย่านนี้ขยับจากหลักหมื่นปลายๆ ไม่ถึงแสนบาท มาอยู่ที่ 2 แสนบาทต่อตารางวา (ตร.ว.) ภายใน 3 ปี
ขณะที่ทำเลย่านเตาปูนก็จะเป็นจุดตัดสำคัญระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ และสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) โดยทำเลเตาปูนยังมีที่ดินให้พัฒนาอีกมาก และเป็นพื้นที่รองรับการขยายตัวจากสถานีบางซื่อที่พัฒนาไม่ได้มากด้วยเช่น กัน โดยราคาที่ดินย่านนี้ปรับขึ้นมา 15.4% เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 แสนบาทต่อ ตร.ว. โดยศักยภาพของจุดตัดทั้งสองทำเลแล้ว จะส่งผลบวกกับทำเลในย่านบางโพด้วย
“กลุ่มพฤกษามองเห็นศักยภาพของทำเลบางซื่อ เตาปูน บางโพ โดยได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาแล้ว 4-5 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 9,000 ล้านบาท ราคาที่ดินขยับขึ้นมาต่อเนื่องจากแปลงแรกที่ซื้อในราคาประมาณ 5 หมื่นบาทต่อ ตร.ว. ถัดมาอีก 1 ปี ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่ 2 ราคาขยับขึ้นมาเป็น 9 หมื่นบาทต่อ ตร.ว. ส่วนโครงการที่ 3 ในย่านบางโพ ซื้อตอนโครงการรถไฟฟ้าเริ่มก่อสร้างแล้ว ราคาที่ดินขยับขึ้นไปสูงถึง 1.5 แสนบาทต่อ ตร.ว.”นายประเสริฐ กล่าว
ขณะที่ทำเลบริเวณสถานีบางหว้า ซึ่งจะเป็นจุดตัดของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายตากสิน-บางหว้า กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค จึงมีแนวโน้มที่ทำเลย่านนี้จะคึกคักมาก โดยบริเวณนี้ราคาที่ดินขึ้นไปแรงมาก ไม่ต่ำกว่า 2-2.5 แสนบาทต่อ ตร.ว. จากราคา 9 หมื่น-1.2 แสนบาทต่อ ตร.ว. เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว และปัจจุบันมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อยู่ระหว่างหาซื้อที่ดิน ย่านบางหว้า และพัฒนาโครงการแล้วหลายราย
ด้านนายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์ ที่ปรึกษาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า บริเวณจุดตัดของรถไฟฟ้าต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อของเมืองออกไปสู่ตัวเมืองชั้นนอกของกรุงเทพฯ จะมีผลบวกกับทำเลโดยรอบจะพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัย ของเมืองในอนาคต

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทเรียน AEC กับการลงทุนต่างประเทศของนักอสังหาริมทรัพย์ไทย

ในขณะนี้นักพัฒนาที่ดินไทยกำลังวางแผนออกนอกประเทศกันมาก ปัจจัยแห่งความสำเร็จขึ้นอยู่กับอะไร สิ่งที่ต้องระวังก็คือ การบุกตลาดไทยของนักอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ
ในช่วงปี พ.ศ. 2530-2535 นักพัฒนาที่ดินรายใหญ่ๆ ของไทยทั้งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ขณะนี้ และนักลงทุนรายอื่นต่างมุ่งไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และอื่นๆแต่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีรายใดประสบความสำเร็จกลับมาเลย สาเหตุแห่งความล้มเหลวคงอยู่ที่การขาดพันธมิตรทางธุรกิจที่ดี ขาดการศึกษาตลาดที่ครบถ้วนและดีเพียงพอ
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงกาฐมาณฑุ กรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮจิมินห์ ซิตี มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 พบว่าประเทศต่างๆ กำลังก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะกรุงจาการ์ตาและกรุงมะนิลา แต่เมืองอื่นๆยังค่อยๆ พัฒนาต่อไป
นอกจากนี้ ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งอาเซียน จำนวนเกือบ 100 คน ต่อประเด็นความพร้อมในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี พ.ศ. 2558 และความเห็นเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยพอสมควร
ผลการสำรวจพบว่า ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินในภูมิภาคนี้ ให้ความเห็นว่าเมื่อเทียบสถานการณ์เศรษฐกิจปี พ.ศ. 2553 กับปัจจุบัน56% ประเมินว่าปัจจุบันดีกว่า มีเพียง 7% ที่เห็นว่าแย่ลง ที่เหลือ 36% บอกว่าเหมือนเดิม สำหรับในรายละเอียด ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากบรูไน สิงคโปร์ และไทย มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจยังแทบไม่เปลี่ยนแปลง แต่ประเทศอื่นๆกลับมองว่าสถานการณ์ดีขึ้นเป็นหลัก และเมื่อพิจารณาถึงภาวะเศรษฐกิจในอีก 2 ปีข้างหน้า คือ ปี พ.ศ. 2557 ส่วนใหญ่ 67% บอกว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น มีเพียง 4% ที่คิดว่าจะเลวร้ายลง อย่างไรก็ตาม ผู้แทนจากประเทศไทยส่วนใหญ่เห็นว่าจะยังคงเหมือนเดิม
ในด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ พบว่า 63% คิดว่าสถานการณ์ตลาดดีขึ้นกว่าปี พ.ศ. 2553 อย่างไรก็ตาม ราวๆ ครึ่งหนึ่งของผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากบรูไนและไทย คิดว่าสถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองในไทย และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของบรูไน ยังไม่กระเตื้องขึ้นนั่นเอง และเมื่อพิจารณาถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอีก 2 ปีข้างหน้า คือ ณ ปี พ.ศ. 2557 พบว่าส่วนใหญ่ 66%จากแทบทุกประเทศระบุว่าสถานการณ์น่าจะดีกว่าปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากประเทศไทยยังเห็นว่าตลาดยังจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักใน 2 ปีข้างหน้า ในแง่ของความน่าเชื่อถือทางวิชาชีพหากวิชาชีพแพทย์ได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุดถึง 100% วิชาชีพอื่นจะมีระดับความน่าเชื่อถือกี่เปอร์เซ็นต์ ผลการสำรวจพบว่า ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินประเมินวิศวกรอยู่ที่ 80% ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินเองอยู่ที่ 77% นักกฎหมายอยู่ที่ 75% และนายหน้าอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 68% ทั้งนี้ คงเป็นเพราะอาชีพนายหน้ายังไม่ได้มีการควบคุมอย่างจริงจังในประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนรวมทั้งประเทศไทย
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการเปิด AEC ในปี พ.ศ. 2558 ปรากฏว่า 62% เห็นว่าน่าจะส่งผลในทางบวกต่อประเทศของตนเอง อย่างไรก็ตาม ในประเทศ เช่น ไทย เวียดนาม ดูเหมือนจะมีความห่วงใยเช่นกันต่อการเข้ามาแข่งขันทางการบริการวิชาชีพจากประเทศอื่นและเมื่อถูกถามถึงความพร้อมในการรับมือกับการแข่งขันใน AEC ปรากฏว่าเวียดนามกลับมีความพร้อมที่สุดถึง 86% จาก 100% รองลงมาคือมาเลเซีย ได้ 72% อันดับสามคือไทย 67% และอินโดนีเซีย 63% บรูไนและฟิลิปปินส์ ดูมีความพร้อมต่ำกว่าเพื่อนคือได้ 58% และ 57% ตามลำดับ
ในทางตรงกันข้าม ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ที่ประเทศเพื่อนบ้านจะกรีธาทัพเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากว่ากรุงเทพมหานครมีจำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับกรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮจิมินห์ นอกจากนั้น ในพื้นที่ตากอากาศ เช่นพัทยา สมุย ภูเก็ต และหัวหิน ก็มีต่างชาติสนใจมาลงทุนเป็นจำนวนมากเช่นกัน ดังนั้นนักพัฒนาที่ดินไทยต้องเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันกับชาติอื่นในสมรภูมิของไทยเอง
ที่มา : โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม

ถ้าพูดถึงชีวิตเมืองจะไม่พูดถึงคอนโดคงเป็นไปไม่ได้ ด้วยว่าคอนโดกลายเป็นที่อยู่อาศัยยอดนิยมสำหรับคนสมัยใหม่ ที่ชอบความสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์อิสระ 

จนทำให้ตลาดคอนโดเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ใช่ว่าคอนโดทุกที่จะขายดีเสมอไปซะเมื่อไหร่ เพราะปัจจัยหลักที่ทำให้คนเลือกซื้อคอนโดนั้น นอกราคาสมเหตุสมผล ดีไซน์ที่โดนใจแล้ว เรื่องทำเลที่ตั้ง และสภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ วันนี้เราจึงมี 10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม ในกรุงเทพฯ มาอัพเดท เผื่อว่าใครกำลังมองหาเลือกซื้อคอนโดอยู่จะได้ตัดสินใจกันได้ง่ายขึ้น

อันดับ 10 ย่านบางนา-ศรีนครินทร์
ทำเลย่านถนนบางนา โดยเฉพาะช่วงถนนบางนา กม.3-4 มีศักยภาพที่สูงมากในอนาคตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากเป็นศูนย์พาณิชยกรรมหลากหลายทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และอื่นๆ จุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่เชื่อมต่อพื้นที่สนามบินกับศูนย์กลางธุรกิจชั้นในของกรุงเทพฯ ปัจจัยเอื้อทางข้อกำหนดผังเมืองที่สามารถพัฒนาได้มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ปัจจัยทางด้านโครงข่ายคมนาคมที่เสริมศักยภาพในอนาคต จึงทำให้บางนา-ศรีนครินทร์เป็นหนึ่งในทำเลยอดฮิตที่คนนิยมเลือกซื้อหา แม้ว่าจะดูเหมือนไกล แต่ก็ใกล้ด้วยระบบการขนส่งมวลชนที่สามารถพาคุณเข้าสู่กลางใจเมืองได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย และบริเวณนั้นยังใกล้ศูนย์การค้า เช่น ซีคอนสแควร์ เซ็นทรัล เมคกะบางนา และสถานศึกษาชื่อดัง เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
อันดับ 9 ย่านลาดพร้าว-โชคชัย 4
จุดที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ โดยเฉพาะซอยโชคชัย 4 ที่มีความเจริญมากที่สุดบนถนนลาดพร้าว บริเวณนี้มีแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตั้งแต่ต้นถนนลาดพร้าว เริ่มด้วยเซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนี่ยนมอลล์ โฮมโปร คาร์ฟูร์ บิ๊กซี ลาดพร้าว ฟู้ดแลนด์ ตะวันนา แมคโคร โลตัส รวมถึงเดอะมอลล์บางกะปิที่ตั้งอยู่ปลายถนนลาดพร้าว มีตลาดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งอาหารมากมาย เช่น ตลาดโชคชัย 4 และตลาดสะพาน 2 ที่ช่วยสร้างความคึกคักให้กับบริเวณนี้เป็นอย่างมาก มีแหล่งงานอยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริเวณรัชดา จตุจักร รวมถึงพระราม 9 สุขุมวิท และในย่าน CBD ทั้งนี้ เนื่องจากการคมนาคมที่สะดวกโดยเฉพาะรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานศึกษาชื่อดัง อาทิ โรงเรียนบดินทร์เดชา สิงห์ สิงหเสนีย์ และ โรงเรียนสตรีวิทยา 2 เป็นต้น รวมทั้งสถานพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลลาดพร้าว และโรงพยาบาลเวชธานี เป็นต้น
อันดับ 8 ย่านปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี
ทำเลปิ่นเกล้าถือเป็นประตูสู่เมืองทางทิศใต้และทิศตะวันตก ในอนาคตบริเวณดังกล่าวจะอยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่เปิดให้บริการได้ในปี 2559 โดยจะวิ่งอยู่เหนือถนนจรัญสนิทวงศ์ (หัวลำโพง-บางแค-บางซื่อ) ทำให้เพิ่มความสะดวกในการเดินทางในย่านนี้มากขึ้น การที่บริเวณดังกล่าวอยู่ติดกับฝั่งพระนคร พื้นที่ประวัติศาสตร์ซึ่งมีหน่วยงานราชการที่สำคัญอยู่หลายแห่ง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดโพธิ์ ศาลหลักเมือง และสนามหลวง เป็นต้น อีกทั้งบริเวณปิ่นเกล้าเป็นย่านธุรกิจที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง หรือแม้แต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธนบุรี 1 โรงพยาบาลเจ้าพระยา รวมทั้งมหาวิทยาลัยที่สำคัญเช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยมหิดล จึงถือได้ว่าเป็นอีกทำเลที่พักอาศัยที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
อันดับ 7 พหลโยธิน-สะพานควาย
ทำเลบนถนนพหลโยธินชั้นใน ย่านอารีย์ - สะพานควาย ถือเป็นแหล่งรวมธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้สะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟฟ้า ซอยอารีย์ถือเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติ ท้ายซอยเป็นที่ตั้งของกรมสรรพากรและอยู่ใกล้กับซอยราชครู ซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยของคนนามสกุลเก่าแก่ จึงถือเป็นซอยที่มีบรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่ ส่วนบริเวณปากซอยนั้นค่อนข้างคึกคัก เพราะมีโครงการลาวิลล่า อารีย์ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามซอยอารีย์ ประชิดทางขึ้น-ลงสถานีรถไฟฟ้าอารีย์แบบห่างแค่ปลายจมูก ถือเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่คึกคักทั้งกลางวันและเย็น เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางตึกออฟฟิศจำนวนมาก อาทิ อาคารเอ็กซิมแบงก์, อาคารพหลโยธินเพลส ฯลฯ ถัดไปที่บริเวณแยกสะพานควายมุ่งหน้าข้ามสี่แยกไฟแดง บริเวณนี้ก็ยังคงคึกคักเพราะมีศูนย์การค้าบิ๊กซีตั้งอยู่ จากสะพานควายข้ามแยกมาจะเจอกับตลาดนัดจตุจักร นับว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลน่าอยู่ที่ไม่ควรมองข้าม
อันดับ 6 ย่านอ่อนนุช-พระโขนง
ทำเล "อ่อนนุช-พระโขนง" ยังคงร้อนแรงด้วยข้อได้เปรียบเรื่องทำเลที่มีแนวรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างเขตเองด้านในและเขตเมืองรอบนอก ส่งผลให้ย่านนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมสูงอีกแหน่งหนึ่ง ย่านชุมชนที่คึกคักที่สุดของซอยอ่อนนุชคือบริเวณ "แยกอ่อนนุช" บริเวณหัวถนนฝั่งสุขุมวิทที่มีร้านค้าและตลาดสดตั้งอยู่ และอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุชประมาณ 100-200 เมตรเท่านั้น ในละแวกปากซอยอ่อนนุชและฝั่งตรงกันข้าม เมื่อเข้าไปภายในซอยอ่อนนุชจะพบว่า ฝั่งขวามือมีความคึกคักมาก เพราะมี "บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า" ตั้งอยู่ ร้านค้าบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นแผงขายของกินหรือเปิดเป็นร้านขายอาหาร ร้านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ร้านกาแฟ ร้าน 7-ELEVEN บรรยากาศคึกคักตลอดทั้งวัน และมีรถสองแถว-มอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งให้บริการต่อเนื่อง เสน่ห์ของซอยอ่อนนุชคือเป็นซอยที่มีรถเข้า-ออกตลอดทั้งวัน เพราะเป็นซอยที่สามารถทะลุไปออกถนนศรีนครินทร์ (ช่วงซีคอนสแควร์) ที่บริเวณปากซอยสุภาพงษ์ได้ ขณะที่ซอยอ่อนนุช 17 39 และ 43 ก็ใช้เป็นเส้นทางไปทะลุออกถนนพัฒนาการได้ด้วย
อันดับ 5 ย่านรัชดา-ห้วยขวาง
เป็นทำเลที่มีการสัญจรไปมาได้สะดวก มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน และเป็นจุดเชื่อมต่อกับย่านธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น ถนนอโศก ที่เป็นแหล่งสำนักงาน สถานศึกษา อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า ทั้งเอสพลานาด เซ็นทรัลพระราม 9 รวมถึงอยู่ใกล้โรงพยาบาลชื่อดังหลายแห่ง ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า ย่านรัชดา-ห้วยขวาง จะกลายเป็น New CBD หรือ New Central Business District แห่งใหม่ ในอนาคต
อันดับ 4 ย่านคลองเตย พระราม 4
ทำเลย่านพระราม 4 คลองเตยได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะอยู่ในแนวรถไฟฟ้า ทั้ง BTS, MRTและ แอร์ พอร์ตลิงค์ ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย มีสถานศึกษาชื่อดังอย่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นแหล่งธุรกิจขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพมากแห่งหนึ่ง
อันดับ 3 ย่านตากสิน-กรุงธนบุรี
ย่านตากสิน-ธนบุรี ได้กลายเป็นทำเลทองที่ไม่เคยหยุดความร้อนแรง คอนโดมิเนียมมีให้เลือกมากมาย เพราะอานิสงส์จากรถไฟฟ้าสายสีลม เป็นพื้นที่ที่มีคอนโดมิเนียมมากที่สุด โดยเฉพาะย่านเจริญกรุง เจริญนคร สถานีธนบุรี ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับบน อยู่ติดถนนใหญ่ และด้วยแนวถนนที่ตัดตรงต่อเนื่องจากถนนสาทรโดยตรง ทำให้การเดินทางเข้าเขตศูนย์กลางธุรกิจของพื้นที่ดังกล่าวมีความสะดวกรวดเร็วอย่างยิ่ง จึงเป็นอีกทำเลหนึ่งที่น่าพิจารณา
อันดับ 2 ย่านสีลม-สี่พระยา
ย่านสีลม-สี่พระยา เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝัน โดยเฉพาะในช่วงถนนสีลม ซึ่งเป็นแหล่งออฟฟิศบิวดิ้งชั้นนำหลากหลาย เป็นศูนย์รวมธุรกิจขนาดใหญ่กลางใจเมือง ในส่วนทำเลสามย่านก็ถือเป็นพื้นที่เก่าแก่ของคนไทย ซึ่งคนในพื้นที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายในระดับสูง อยู่ใกล้ศูนย์สถานที่สำคัญทั้งสถานศึกษา ศูนย์รวมสถาบันกวดวิชา ห้างสรรพสินค้า และสะดวกด้วยระบบขนส่งมวลชนที่ครบครัน
อันดับ 1 ย่านพญาไท-ปทุมวัน
พญาไท-ปทุมวัน เป็นทำเลฮอต ร้อนแรง ไม่แพ้ย่านไหนๆ ด้วยถนนสายนี้ไม่เพียงเป็นจุดเชื่อมการเดินทางรถไฟฟ้าสองสาย บีทีเอส-แอร์พอร์ตลิ้งก์ ที่มีคนหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านวันละเป็นหมื่นๆ ใกล้ศูนย์การค้า สถาบันกวดวิชาชื่อดัง อย่างตึกวรรณสรณ์ และสถานที่สำคัญต่างๆ ทำให้ย่านนี้เป็นทำเลทองที่ใครๆ ก็อยากจับจองทั้งนั้น
หากคุณกำลังตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดอยู่ ลองนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการพิจารณาดู เชื่อว่าคุณจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

เผยคนไทยผงาดแถวหน้า ช็อปสินค้าแบรนด์เนม

สำรวจพบคนไทยช็อปกระหน่ำสินค้าแบรนด์เนมติดอันดับ 6 ของโลก ทั้งๆที่ประเทศไม่ใช่มหาอำนาจ ดันยอดซื้อของฟุ่มเฟือยพุ่ง 57% แซงหน้าชาวจีนในตลาดอังกฤษ เหตุเศรษฐกิจโตพรวด

ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงมักมาจากประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ แต่ข้อมูลล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากบริษัทสำรวจตลาดด้านการท่องเที่ยว ระบุว่า ทัวริสต์ชาวไทยได้ทะยานขึ้นมายืนแถวหน้าของโลกในเรื่องการซื้อสินค้าปลอดภาษี

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ นำเสนอรายงานด้วยหัวข่าว "Thai tourists : luxury's new big spenders" อ้างผลสำรวจของ Global Blue ระบุว่า ในรอบปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยได้กลายเป็นนักช็อปอันดับที่ 6 ของโลก รองจากจีน, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย และสหรัฐ

ตลอดระยะเวลา 12 เดือน คนไทยได้จ่ายโอนเงินระหว่างประเทศรวม 376,021 ครั้ง พุ่งขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 57%

เฉพาะในประเทศอังกฤษ นับแค่เดือนมกราคม-พฤษภาคม ชาวไทยซื้อของยี่ห้อดังเพิ่มขึ้น 68% ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวที่แซงหน้าสถิติของชาวจีนที่มีการเติบโต 39%
ชาวไทยได้กลายเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ขยายตัวเร็วที่สุดในตลาดสหราชอาณาจักร ทำให้อังกฤษกลายเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย โดยเฉลี่ยแล้ว ชาวไทยมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 762 ปอนด์ หรือประมาณ 36,000 บาทต่อครั้ง ตัวเลขนี้ได้เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีก่อน 22%

บริษัทสำรวจตลาด โกลบอลบลู วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย, จีดีพีขยายตัว 6.4% เมื่อปีที่แล้ว และยังคงโตต่อเนื่องในปี 2556 ขณะที่เงินบาทเทียบกับสกุลยูโรได้แข็งค่าขึ้น ช่วยเพิ่มกำลังซื้อในต่างประเทศ

นอกจากนี้ อัตราว่างงานยังต่ำแค่ 0.5%, มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ, สนามบินและสายการบินมีการเชื่อมโยงครอบคลุมทั้งเอเชียและทวีปอื่นๆอย่างกว้างขวาง, และอัตราการเกิดของประชากรอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ผู้คนมีภาระน้อยในการเลี้ยงดูบุตร

ด้วยภาวะฟูเฟื่องดังกล่าว ทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยหลายยี่ห้อเข้าไปเปิดสาขาในกรุงเทพ และตามแหล่งท่องเที่ยว ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แบรนด์ขนาดรองๆ เช่น Kenzo, Celine และ Stella McCartney ได้เปิดร้านในไทย ขณะยี่ห้อดังๆ อย่าง Prada ได้ปรับแต่งร้านสาขาตามย่านธุรกิจสำคัญให้ดูหรูหรายิ่งขึ้น

ในอังกฤษ ห้างค้าปลีก Harrods รายงานว่า "พฤติกรรมการจับจ่ายของชาวไทยเหมือนกับชาวจีน ต้องการแบรนด์หรูที่สุด เช่น Chanel, Louis Vuitton และ Hermes. สินค้าขายดีอันดับหนึ่ง คือ กลุ่มน้ำหอมกับเครื่องสำอาง ขณะที่เสื้อผ้าบุรุษกำลังขายดีมากขึ้น"

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นักลงทุนบุก'แม่สอด'รับเกตเวย์ไทย-พม่า

นักลงทุนบุก'แม่สอด'รับเกตเวย์ไทย-พม่า ผุดคอนโด 600 ยูนิต ดันราคาที่ดินพุ่งสูง


กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บุกยึดทำเลทอง "แม่สอด" ประตูหน้าด่านไทย-พม่า ผุดคอนโดมิเนียมเกือบ 600 ยูนิต มูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หอการค้าฯตากระบุเป็นปรากฎการณ์ใหม่ "ลงทุนที่อยู่อาศัยแนวตั้ง" ในหัวเมืองเล็ก พบราคาที่ดินพุ่งพรวดจากไร่ละ 4 ล้าน เป็น 15 ล้าน รับ "ทำเลทอง" อาเซียน ลูกค้าไทย-พม่ากำลังซื้อสูง 
นายวิวัฒน์ กิตติพรพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันเดอร์ วี แอสเสท จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 จะทำให้เมืองการค้าชาย อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการลงทุนสูง นับเป็นทำเลทองทางการค้า-การลงทุน ระหว่างไทย-พม่า ทำให้เกิดความต้องการด้านที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น 
"วันเดอร์ วี แอสเสท เป็นทุนกลุ่มแรกจากเชียงใหม่ที่เข้ามาบุกเบิกตลาดคอนโดมิเนียมใน อ.แม่สอด"
บริษัท ลงทุนกว่า 110 ล้านบาท พัฒนาโครงการวี คอนโด (VEE CONDO) จำนวน 2 อาคาร รวม 140 ยูนิต ราคา 1.29 ล้านบาทขึ้นไป เปิดขายตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขาย 80% เป็นกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ 50% ชาวต่างชาติ 20% ส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนใน อ.แม่สอด 10% สำหรับการก่อสร้างคืบหน้าไปกว่า 10% คาดใช้เวลาในการก่อสร้าง 1 ปี
คอนโดบูมเจาะกลุ่มนักธุรกิจ
นายกัณฑ์อเนก ศรัณย์ชล กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคเอ็น เชียงใหม่ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ มานานกว่า 20 ปี กล่าวว่า ได้เข้าไปลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม และอาคารพาณิชย์ ใน อ.แม่สอด รองรับภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนระหว่างไทย-พม่า 
บริษัทได้ซื้อที่ดินจำนวน 3 ไร่ บริเวณใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย-พม่า เพื่อพัฒนาโครงการลักซ์คอนโด แอท แม่สอด เป็นคอนโด 2 อาคาร ขนาด 7 ชั้น จำนวนรวม 156 ยูนิต กำหนดขายราคายูนิตละ 1.4 ล้านบาทขึ้นไป คาดเริ่มการก่อสร้างเดือน ส.ค. นี้ ใช้เวลาก่อสร้าง 1 ปี พร้อมเปิดการขายในเร็วๆ นี้ เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งในพื้นที่ และนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนใน อ.แม่สอด ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง
ทุนท้องถิ่นลุยลงทุน
นายประพัฒน์พงศ์ อัจฉรารุจิ ประธานกรรมการ บริษัท เสรีกรีน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการท้องถิ่้นเล็งเห็นศักยภาพตลาดที่อยู่อาศัยใน อ.แม่สอด จึงมีการลงทุนโครงการเบส คอนโดมิเนียม มูลค่าลงทุน 120 ล้านบาท บนพื้นที่ ต.แม่ปะ ห่างจากเทศบาลนครแม่สอด ประมาณ 300 เมตร แบ่งการก่อสร้างเป็น 2 อาคาร จำนวนรวม 135 ยูนิต ราคายูนิตละ 1.16 ล้านบาท ขณะนี้เริ่มทำการก่อสร้างแล้วคาดแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2557 พร้อมเปิดขายเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขาย 67% มีสัดส่วนลูกค้าเป็นคนในพื้นที่ จำนวน 30 ยูนิต นักธุรกิจชาวไทย จำนวน 20 ยูนิต และนักธุรกิจชาวพม่า จำนวน 30 ยูนิต 
"ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้ายังมีอยู่จำนวนมาก"
ราคาที่ดินพุ่ง-อาคารพาณิชย์ขยายตัว 200%
ทางด้านนายสมศักดิ์ คะวีรัตน์ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวว่า ปัจจุบันพื้นที่ อ.แม่สอด มีการลงทุนก่อสร้างอาคารพาณิชย์จำนวนมาก คิดเป็นอัตราการขยายตัวกว่า 200% เทียบปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาอาคารพาณิชย์ในพื้นที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากยูนิตละ 1 ล้านบาท เป็นยูนิตละ 4-6 ล้านบาท ส่วน "ที่ดิน" บริเวณถนนเอเชีย จากไร่ละ 4 - 5 ล้านบาท ขยับขึ้นเป็นไร่ละ 13 - 15 ล้านบาท 
พร้อมกันนี้ ยังมีกลุ่มทุนจากส่วนกลางเตรียมเข้ามาลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม อีก 1 แห่ง ขนาด 110 ห้อง บนพื้นที่ 10 ไร่ในเขตเทศบาลเมืองแม่สอด และสำรวจพื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว จำนวน 50 ห้อง อีกด้วย 
"ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน อ.แม่สอดมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการก่อสร้างคอนโดมิเนียมในเมืองขนาดเล็ก ที่เข้ามาลงทุนพร้อมกันร่วม 600 ยูนิตมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท นับเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เป็นโอกาสดีต่อการผลักดันเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของแม่สอดเติบโตแบบก้าวกระโดด" นายสมศักดิ์กล่าว


วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กระบวนทัศน์ใหม่พัฒนาที่อยู่อาศัยไทย

  การเคหะแห่งชาติได้จัดสัมมนานานาชาติ "กระบวนทัศน์ใหม่ของการพัฒนาที่อยู่อาศัยและเมืองในประเทศไทย" โดยร่วมกับองค์กรพัฒนาเมืองระดับสากล PRCUD สหรัฐ เป็นหนึ่งในกิจกรรมครบรอบ40 ปีของการเคหะแห่งชาติ

          การสัมมนานี้เป็นการสัมมนาโต๊ะกลม มีผู้เชี่ยวชาญนานาชาติจากPRCUD และจากไทยร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิธีการดำเนินการ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาที่อยู่และพัฒนาเมืองอย่างกว้างขวาง โดยมีบทสรุปข้อเสนอแนะในหัวข้อต่างๆ ประกอบด้วย

          1.การพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยตามแนวทางการพัฒนาตามโครงข่ายคมนาคมและโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ที่ประชุมเสนอให้การเคหะแห่งชาติพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบริเวณสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนโดยด่วน เพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนรวมทั้งพัฒนากลไกด้านการเงิน เช่น การอุดหนุนข้ามกลุ่มรายได้ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ธนาคารที่ดิน เป็นต้น

          สำหรับการพัฒนาที่ดินบริเวณสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนนั้น การเคหะแห่งชาติควรขยายอาณาเขตพื้นที่ให้เชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนอื่นควรขอเพิ่มการกำหนดสัดส่วนพื้นที่อาคารให้มีความหนาแน่น จากผังการใช้ประโยชน์ที่ดินของกรุงเทพฯ พื้นที่ที่จะพัฒนารอบสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนควรขยายอาณาเขตพื้นที่สถานีเพื่อจัดให้มีสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบ

          ทั้งนี้ โครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติใกล้สถานีฯ ควรจำกัดพื้นที่จอดรถ เพื่อส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยใช้ระบบขนส่งมวลชนพัฒนาพื้นที่ให้เดินเชื่อมต่อกันได้รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนจัดให้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีความสมดุลกับแหล่งงาน และเสนอให้การเคหะแห่งชาติจัดทำโครงการนำร่อง

          2.การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เนื่องจากกฎหมายการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะใช้ในเร็วๆ นี้ สำหรับการร่วมลงทุนเรื่องที่อยู่อาศัยยังเป็นเรื่องใหม่การเคหะแห่งชาติต้องทำความเข้าใจบทบาท และธรรมชาติธุรกิจอย่างถ่องแท้

          เช่น การเจรจา การกำหนดราคา การอุดหนุนและภาษี ซึ่งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนในระยะยาว ดังนั้นภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องไว้วางใจซึ่งกันและกันในการดำเนินการ

          3.การบริหารจัดการเพื่อรองรับภาวะอุทกภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเคหะแห่งชาติควรนำวิกฤตมหาอุทกภัยปี 2554 มาเป็นโอกาสเตรียมความพร้อมรับปัญหาอุทกภัย การบริหารจัดการน้ำเช่น ปรับปรุงทางน้ำ จัดให้มีพื้นที่โล่งและเมืองสีเขียว จัดให้มีสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และออกแบบอาคารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการมีส่วนร่วมระดับชุมชน ผู้กำหนดนโยบาย ผู้พัฒนาสถาบันการเงิน รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และวางแผนชุมชนที่ป้องกันน้ำท่วมได้ การเคหะแห่งชาติควรทำโครงการนำร่องแสดงให้เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ และควรริเริ่มรณรงค์และทำแผนส่งเสริมที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมืองสีเขียวสำหรับไทยในอนาคต

          4.การเงินเพื่อที่อยู่อาศัยไทยจำเป็นต้องทำนโยบายที่อยู่อาศัย การเคหะแห่งชาติควรมีบทบาทกำหนดนโยบายที่อยู่อาศัยของประเทศ การก่อสร้างที่อยู่อาศัย หมายถึงการสร้างงานและการจ้างงาน มีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 10-15 การก่อสร้างที่อยู่อาศัย จึงมิใช่เรื่องการจัดให้มีอุปทานเท่านั้นแต่รวมถึงการตั้งถิ่นฐาน และจัดระเบียบชุมชนด้วย

          การเคหะแห่งชาติควรส่งเสริมภาคเอกชนทำกิจการความรับผิดชอบต่อสังคม จัดให้มีที่อยู่อาศัยแก่พนักงาน ควรร่วมมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์และสถาบันการเงินมากขึ้น ควรพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยกลุ่มเป้าหมายที่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท รอบสถานีระบบขนส่งมวลชน ซึ่งภาคเอกชนยังไม่ได้พัฒนา โดยนำเครื่องมือพัฒนากายภาพและการเงินมาปรับใช้

          5.การพัฒนาเมือง การวางผังเมือง และการพัฒนาระบบบริการขั้นพื้นฐานของเมือง ปัจจุบันเมืองใหญ่ของไทย เช่น กรุงเทพฯ มีลักษณะซับซ้อน มีหน่วยงานเกี่ยวข้องหลายหน่วย ควรศึกษาและพิจารณาสร้างมูลค่าเพิ่มจากการลงทุน สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ นำมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมากระจายคืนสู่ประชาชน การเคหะแห่งชาติควรเจรจากรุงเทพฯ ขอเพิ่มอัตราความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่

          ปัจจุบันนโยบายพัฒนาเมืองยังไม่ชัดเจน อาจต้องพัฒนาถึงรูปแบบเมืองหลายศูนย์กลางและเชื่อมโยงกันด้วยระบบขนส่งมวลชน

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

TGBI จี้ราชการดันแผนแม่บทอาคารเขียว

ไทยโพสต์ * สถาบันอาคารเขียวไทย วอนภาครัฐเข้าดูแล เชื่อผลักดัน กม. "อาคารเขียว" ช่วยประหยัดพลังงาน เผยผังเมืองใหม่กำหนดให้มีพื้นที่สีเขียว แจกโบนัส FAR เพิ่ม 20%

          นายวิญญู วานิชศิริโรจน์ กรรมการและเลขานุการ สถาบันอาคารเขียวไทย (Thai  Green Building  Institute)หรือ  TGBI เปิดเผยว่า สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สภาวิศวกรรมแห่งประเทศไทย (วสท.) ก่อตั้งมูลนิธิอาคารเขียวขึ้น เพื่อดำเนินกิจกรรมภายใต้สถาบันอาคารเขียวไทยซึ่งเป็นองค์กรเอกชน โดยทางสถาบันฯ มีเกณฑ์อาคารเขียวไทย (Trees) เพื่อรับรองอาคารที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยเป็นอาคารที่มีการออก แบบ และก่อสร้างในรูปแบบการประหยัดพลังงาน

          "กระแสอาคารเขียวยังเป็นเรื่องใหม่ สถาบันฯ เป็นเอกชน โดยในปัจจุบันยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ถ้าเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่มีภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อน ดังนั้น มองว่าการที่ภาครัฐจะมาสนับสนุนภาคเอก ชน เชื่อว่าจะสามารถผลักดันแม่ บทกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และอาคารเขียวได้ ในขณะที่ผังเมืองกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ที่เริ่มใช้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีการกำหนดให้อาคารที่มีพื้นที่สีเขียวจะได้รับโบนัสอัตราพื้นที่อาคารต่อพื้นที่ดิน (FAR) เพิ่มขึ้นถึง 20%" นายวิญญู กล่าว

          ด้าน นายโคลิน จี ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาต่างประเทศ สถาบันการออกและการก่อสร้างประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า ปัจจุ บันสิงคโปร์ใช้แผนแม่บทอาคารเขียวแผนที่ 2 โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนการทำอาคารสีเขียว คาดว่า ภายในปี 2030 สิงคโปร์จะมีอาคารเขียว 80% ของอาคารทั้งหมด ซึ่งจะช่วยประหยัดการใช้พลังงานได้มากถึง 35% ของการใช้พลังงานทั่วประเทศ

          นอกจากนี้สถาบันฯ เตรียม จัดงานบิลด์ อีโค เอ็กซ์โป ระหว่างวันที่ 11-13 กันยายน ที่มารินาเบย์ แซนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นงานที่รวมนวัตกรรมด้านวิศวกรรมก่อสร้าง และ การออกแบบอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยี และ จัดการสัมมนาอาคารสีเขียวนานาชาติ รวมไปถึงการออกบูธจากผู้ประ กอบการ 300 ราย จาก 30 ประเทศ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ราคาที่ดินหนองคายพุ่งรับ"เออีซี" แห่ซื้อเก็งกำไรขายกลุ่มทุน

นายวิวัฒน์ชัย จิวาศักดิ์อภิมาศ รองประธานและเลขาธิการหอการค้าจังหวัดหนองคาย และผู้ประกอบการเกี่ยวกับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า ราคาที่ดินของจังหวัดหนองคายตอนนี้ถือเป็นช่วงที่มีราคาสูงมาก ราคาที่ซื้อขายกันจริงๆ ส่วนใหญ่จะสูงกว่าราคาที่ประเมินไว้มาก และที่สำคัญมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรกัน ส่งผลให้ราคาซื้อขายจริงสูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารพาณิชย์และที่ดินริมถนนสายที่ตัดจากตัวเมืองหนองคายไปด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาวนั้น ขณะนี้บูมกว่าทุกจุด อาคารพาณิชย์จากเดิมที่มีการซื้อขายกันที่ห้องละ 1.9-2 ล้านบาท สูงขึ้นเป็น 5-7 ล้านบาท ส่วนราคาที่ดินที่ซื้อ-ขายนั้นก็สูงกว่าราคาประเมินหลายเท่าตัว ล่าสุดที่มีการซื้อขายกันอยู่ที่ไร่ละ 8-9 ล้านบาท ในขณะที่ราคาประเมินล่าสุดที่มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 5.2 ล้านบาทต่อไร่

ทางด้าน นายวีระชัยโชค มงคลภูมิรัตน์ รองนายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดหนองคาย เปิดเผยว่า ราคาที่ดินในจังหวัดหนองคายขณะนี้ถือว่าสูงมากจนเต็มเพดาน เฉพาะค่าเช่าก็ยังสูงเช่นเดียวกัน ล่าสุดมีการเช่าที่ 30 ไร่ 30 ปี ค่าเช่าสูงถึง 60 ล้านบาท ส่วนราคาขายที่ดินในตัวเมืองที่เป็นเขตเศรษฐกิจหลัก พื้นที่กว่า 4 ไร่ ขายกันที่กว่า 100 ล้าน ที่ริมแม่น้ำโขง 3 ไร่ ขาย 75 ล้านบาท โดยมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น ซีพี แสนศิริ รวมไปถึงกลุ่มทุนที่เกี่ยวกับการสร้างที่อยู่อาศัย ได้เข้ามาหาที่ดินแปลงใหญ่เพื่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม เพื่อรองรับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี (AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 คาดกันว่าจะมีนักลงทุนจากต่างชาติ 



เข้ามาในจังหวัดหนองคายเป็นจำนวนมาก มีการขออนุญาตสร้างรีสอร์ต โรงแรมขนาดใหญ่ 7 ชั้นริมถนนหนองคาย-โพนพิสัย รวมไปถึงโฮมโปรที่ได้ลงมือก่อสร้างไปแล้ว การลงทุนโครงการใหญ่ๆ ข้างต้นก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ปรับราคาขึ้นตามไปด้วย ทำให้ขณะนี้คนหนองคายระดับรากหญ้าจนถึงระดับกลาง ยากที่จะมีที่ดิน รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบ้านและอาคารพาณิชย์ในเขตเมืองเป็นของตัวเอง

การซื้อขายที่ดินและอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายเริ่มคึกคักตั้งแต่ต้นปี 2553 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2555 จนถึงขณะนี้การซื้อขายที่ดินและอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายคึกคักมาก ทำให้ราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นอีก เมื่อเทียบกับปี 2554 แล้ว ราคาที่ดินและอาคารพาณิชย์ปรับขึ้นจากเดิม 2-3 เท่าตัว จากกระแสข่าวที่มีความเป็นไปได้สูงที่โครงการใหญ่ๆ อีกหลายโครงการจะเข้ามา

ดำเนินการในเร็วๆ นี้ ประกอบกับจังหวัดหนองคายเป็นหน้าด่านในการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อมีการเปิดเออีซีในปี 2558 จึงทำให้กลุ่มทุนใหญ่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ มีกลุ่มทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดินเป็นแปลงใหญ่ตั้งแต่ 50-300 ไร่ เพื่อขายให้กับบริษัทขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาตั้ง ยิ่งส่งผลให้ราคาที่ดินในจังหวัดหนองคายมีราคาสูงเกินจริงขึ้นไปอีก ที่ดินที่มีการซื้อขายกันขณะนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เจ้าของขายเอง แต่เป็นมือที่ 3-4 แล้ว

สำหรับราคาประเมินที่ดินที่สูงที่สุดนั้นจะอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย โดยเฉพาะที่ดินที่ติดกับถนนประจักษ์ที่เป็นถนนสายหลักภายในเขตเทศบาลราคาประเมินสูงมาก อยู่ระหว่าง 8-10 ล้านบาทต่อไร่ แต่การซื้อขายกันจริงๆ แล้วสูงกว่าราคาประเมินมาก โดยเฉพาะแปลงสวยๆ นั้นราคาซื้อขายกันจริงๆ จะสูงเกิน 20 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนที่ดินริมโขงภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคายนั้น ราคาประเมินอยู่ระหว่าง 3-4 ล้านบาท แต่ซื้อขายกันจริงๆ สูงกว่านี้ 

จุดที่มีการซื้อขายสูงกว่าราคาประเมินอีกจุดหนึ่ง คือที่ดินริมถนนสายจากตัวเมืองหนองคายไปด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งขณะนี้ถือเป็นถนนสายเศรษฐกิจ มีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์มากกว่า 100 ห้อง ก็สามารถขายได้หมดภายในเวลาไม่นาน ราคาประเมินที่ดินริมถนนเส้นนี้อยู่ที่ประมาณ 1.8-2 ล้านบาทต่อไร่ แต่ซื้อขายกันจริงๆ สูงถึง 8-9 ล้านบาทต่อไร่เลยทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อ่านสัญญา "พิทักษ์สิทธิ์" ก่อนซื้อบ้าน

เปิดปมปัญหา ผู้ซื้อบ้าน กับ เจ้าของโครงการระลอกใหม่ แนะอ่านสัญญาก่อนซื้อขายที่อยู่อาศัย รับมือปัญหาอนาคต
ประเด็นปัญหาระหว่าง "ผู้ซื้อบ้าน" กับ "เจ้าของโครงการ" คงไม่ใช่เรื่องใหม่นัก จะเห็นได้ว่า มีกรณีการฟ้องร้องเกิดขึ้นแทบรายวัน หรือหากเปิดเข้าไปตามเว็บไซต์ Social Network ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Prakard หรือ Pantip ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราว "หลังการขาย" ที่อยู่อาศัยที่ไม่น่าประทับใจนักทั้งโครงการเล็ก และโครงการใหญ่
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกบ้านมีความคาดหวัง "สูง" ในการซื้อที่อยู่อาศัยว่าจะต้อง "ตรง" กับแผ่นป้ายโฆษณาที่โครงการได้ประกาศไว้ หรือ "ตรง" ตาม "คำบอก" ของพนักงานขายทุกประการ โดยเฉพาะกับการซื้อที่อยู่อาศัย "ราคาแพง" ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ลูกบ้านทุกรายต่างมองว่า จะต้องได้รับ "บ้านที่ดี" และ "บริการหลังการขาย" ที่ดีตามไปด้วย
แต่เมื่อถึงเวลาได้อยู่อาศัยจริง แล้วพบว่า ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ทั้งเรื่องคุณภาพของบ้าน การบริการต่างๆ ของเจ้าหน้าที่โครงการ ไปจนถึง บริการสาธารณะภายในโครงการ ซึ่งหมายรวมถึง "ทรัพย์สินส่วนกลาง" ต่างๆ ทั้งถนนส่วนกลาง พื้นที่สวนสาธารณะ คลับเฮ้าส์ ฯลฯ ที่ไม่เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลทาง "วาจา" จากพนักงานขายก่อนการตัดสินใจซื้อ จึงกลายเป็น "ปมปัญหา" ที่ลูกบ้านหวังให้ "เจ้าของโครงการ" เร่งแก้ไข ซึ่งในบางปัญหาเป็นข้อตกลงทาง “วาจา” ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง อาจเป็นเรื่องยากต่อการแก้ไข เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ระบุอยู่ใน “สัญญา”
การทำความเข้าใจกับ “สัญญาซื้อขาย” อย่างละเอียดและถูกต้อง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเกือบทุก “ปัญหา” ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ล้วนเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในช่วงก่อนซื้อขาย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการได้รับข้อมูลยืนยันทาง “วาจา” จากพนักงานขาย แต่ไม่ได้ตรวจสอบว่า ไม่มีระบุในสัญญาซื้อขาย
ล่าสุด กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ได้รับการร้องเรียนจากนางวรวรรณ ลูกบ้านรายหนึ่งในโครงการธนาพัฒน์ เฮ้าส์ พระราม 3 เกี่ยวกับการอยู่อาศัยหลังการซื้อ โดยขอนำเสนอเป็น 3 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 เรื่องการก่อสร้างโครงการใหม่บริเวณหน้าบ้าน
 
นางวรวรรณ ได้ระบุว่า ได้เลือกซื้อบ้านในโครงการดังกล่าวบริเวณด้านในสุดของโครงการฯ ด้วยราคา 8.5 ล้านบาทตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เพราะต้องการความสงบในการอยู่อาศัย ซึ่งบริเวณพื้นที่ตรงข้ามบ้าน เดิมเป็นพื้นที่โล่ง ก่อนตัดสินใจซื้อได้สอบถามพนักงานขายว่าพื้นที่โล่งดังกล่าว ทางโครงการฯ จะใช้เป็นพื้นที่เพื่อกิจกรรมใด ทางพนักงานขายระบุว่าจะจัดทำเป็นสวน แต่ปัจจุบันมีการก่อสร้างเป็นโครงการใหม่ ซึ่งในส่วนของการก่อสร้างโครงการใหม่ ไม่ได้ติดใจ ถือว่าเป็นสิทธิของบริษัทฯ แต่สิ่งที่ได้รับผลกระทบ คือ เรื่องเสียงและฝุ่น จึงสอบถามไปยังโครงการว่า ขอให้ทำงานเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์ได้หรือไม่ ซึ่งทางโครงการฯ ได้ตอบกลับเป็นจดหมายยืนยันจะทำงานในวันจันทร์ ถึง วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 18.00 น. เช่นเดิม
“เสียงในการก่อสร้าง การขุดเจาะ ความสั่นสะเทือน เป็นสิ่งรบกวนการพักผ่อนในช่วงวันหยุดของดิฉัน จึงได้ร้องขอให้ทางโครงการฯ ดำเนินงานก่อสร้างเฉพาะช่วงวันจันทร์ - วันศุกร์” นางวรวรรณ กล่าว
กรณีที่ 2 เรื่องการใช้บริการที่คลับเฮ้าส์
นางวรวรรณ กล่าวว่า ก่อนการตัดสินใจซื้อพนักงานขายได้ชี้แจงว่า ค่าส่วนกลางในแต่ละเดือน ครอบคลุมบริการส่วนของสระว่ายน้ำในคลับเฮ้าส์ สามารถใช้บริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม  ซึ่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสามารถใช้บริการได้ฟรีตามปกติ แต่ปัจจุบันทางโครงการฯ ได้จัดเก็บค่าใช้จ่ายในส่วนของสระว่ายน้ำต่อการใช้ในแต่ละครั้งเพิ่ม และยังคงจัดเก็บค่าส่วนกลางตามปกติ
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่า โครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างเปิดขายจะมีสิทธิในการใช้คลับเฮ้าส์ ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้ปริมาณผู้ใช้บริการมีจำนวนมากเกินไป

กรณีที่ 3 เรื่องคุณภาพของอุปกรณ์ภายในบ้าน
นางวรวรรณ ระบุเพิ่มเติมว่า นอกจากปัญหาในด้านการอยู่อาศัยแล้ว ที่ผ่านมายังมีปัญหาเรื่องคุณภาพของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เช่น ปัญหาไฟช็อต พื้นทรุด ท่อประปาตรงลานจอดรถแตก ทำให้ต้องซ่อมแซมต่อเนื่อง แม้ว่าจะเพิ่งซื้อมาเพียง 2 ปีเท่านั้น
เธอ ยังกล่าวอีกว่า อยากแนะนำให้ผู้ซื้อบ้านทุกรายอ่านสัญญาการซื้อขายอย่างรอบคอบเกี่ยวกับสิทธิต่างๆ ภายในโครงการ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน และยอมรับในข้อตกลงถึงสิทธิที่จะได้รับหรือไม่ได้รับก่อนที่จะเซ็นสัญญา เพื่อลดปัญหาต่างๆ ในระหว่างการอยู่อาศัย
นอกจากนี้ ก่อนรับโอนบ้าน ในขั้นตอนของการตรวจความเรียบร้อย ควรหาผู้เชี่ยวชาญ เช่น วิศวกร หรือสถาปนิกร่วมตรวจรับบ้าน น่าจะดีกว่าการตรวจรับบ้านด้วยตัวเอง เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญจะมองเห็นจุดสำคัญที่จำเป็นต้องตรวจสอบมากกว่า

ดัชนีราคาห้องชุด ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว และดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ประจำงวดครึ่งแรก ปี 2556

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานตัวเลขดัชนีราคาห้องชุด ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว และดัชนีราคาทาวน์เฮาส์ ประจำงวดครึ่งแรก ปี 2556 พบว่า ที่อยู่อาศัยประเภทห้องชุดมีค่าความเปลี่ยนแปลงของดัชนีมากที่สุด โดยดัชนีราคาห้องชุดเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับงวดครึ่งแรกปี 2555 ส่วนในประเภทบ้านจัดสรร พบว่าดัชนีราคาบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และดัชนีราคาทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้เริ่มจัดทำดัชนีราคาห้องชุดเป็นครั้งแรกในงวดประจำครึ่งแรกปี 2553 ส่วนดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและดัชนีราคาทาวน์เฮาส์นั้น ได้เริ่มจัดทำเป็นครั้งแรกในงวดประจำครึ่งแรก ปี 2554 โดยใช้ราคาในครึ่งหลังปี 2552 เป็นปีฐานสำหรับดัชนีทั้ง 3 ประเภท
ทั้งนี้ ดัชนีราคาห้องชุดเป็นการประมวลผลจาการสำรวจโครงการอาคารชุดในพื้นที่กรุงเทพฯจังหวัดเดียว สำหรับดัชนีราคาบ้านเดี่ยว และดัชนีราคาทาวน์เฮาส์ เป็นการประมวลผลจากการสำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯและ 3 จังหวัดปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ดัชนีราคาห้องชุดรวมทุกระดับราคา สำหรับครึ่งแรกของปี 2556 มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.9 ปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2555 โดยเมื่อแยกพิจารณาในแต่ละช่วงราคา พบว่า
ห้องชุดที่มีระดับราคาต่ำกว่า 50,000 บาท/ตารางเมตร มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.5 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับครึ่งแรก ปี 2555
ห้องชุดที่มีระดับราคา 50,000-79,999 บาท/ตารางเมตร มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.5 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับครึ่งแรก ปี 2555
ห้องชุดที่มีระดับราคาตั้งแต่ 80,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป มีค่าดัชนีเท่ากับ 110.8 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับครึ่งแรก ปี 2555
โดยสรุป ห้องชุดในระดับราคาต่ำกว่า 50,000 บาท/ตารางเมตร มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากกว่าห้องชุดในระดับราคาอื่นๆ โดยเขตที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ เขตวังทองหลาง (ถนนรามคำแหง) เขตคันนายาว (ถนนรามอินทรา) เขตประเวศ (ถนนศรีนครินทร์) เขตห้วยขวาง (ในซอยลึกเข้าไปจากถนนลาดพร้าว)
ส่วนห้องชุดระดับราคา 50,000-79,999 บาท/ตารางเมตร เขตที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่เขตห้วยขวาง (ถนนรัชดาภิเษก) เขตดินแดง (ถนนรัชดาภิเษก) เขตจตุจักร เขตบางกะปิ (ถนนรามคำแหง) และในเขตราษฎร์บูรณะ
และสำหรับห้องชุดระดับราคาสูงกว่า 80,000 บาท/ตารางเมตร ปรับราคาเพิ่มขึ้นน้อยกว่าห้องชุดในระดับราคาต่ำกว่า เขตที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ เขตปทุมวัน เขตราชเทวี เขตวัฒนา เขตพระโขนง และเขตสาทร
สำหรับดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 112.8 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2555 โดยหากแยกพื้นที พบว่าเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และใน 3 จังหวัดปริมณฑลปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0
ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 118.4 ปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2555 โดยหากแยกพื้นที พบว่าเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และใน 3 จังหวัดปริมณฑลปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9
ดัชนีราคาห้องชุด ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว และดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ต่างเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับรอบครึ่งปีที่ผ่านมาหลายงวดรายงาน สืบเนื่องจากห้องชุด บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ ที่เปิดขายใหม่ในครึ่งแรกของปีมีราคาสูงขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงและราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การเคหะฯ ลงพื้นที่บ้านเอื้ออาทรสมุทรปราการ 1 ลุยงานชุมชนเพื่อสังคม

นายคณิต แพทย์สมาน ประธานคณะอนุกรรมการ การกำกับดูแลกิจการที่ดีและความรับผิดชอบต่อสังคม การเคหะแห่งชาติ (ลำดับที่ 5 จากซ้าย) นำทีมลงพื้นที่โครงการบ้านเอื้ออาทรสมุทรปราการ 1 ร่วมกับวิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการให้บริการซ่อมแซมบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ แก่ชาวชุมชน ภายใต้โครงการ “ช่างอาสาเพื่อพัฒนาชุมชน” รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการชำระค่างวดเพื่อไม่ให้เกิดดอกเบี้ยค้างชำระหรือเกิดการซื้อคืน โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ในโครงการ “สานสัมพันธ์ครอบครัวเอื้ออาทร” นอกจากนี้ยังมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เกี่ยวกับการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อ และการจัดทำบัญชีครัวเรือนรายรับ-รายจ่าย อีกทั้งยังให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจากเทศบาลตำบลแพรกษา และบริการตัดผมชาย-หญิงโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจากโรงเรียนเสริมสวยอรพินอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทุนจีนซื้อคอนโดฯยกตึก พระราม9-พัทยา/ตั้งฐานบุกอาเซียน

ไทยรับอานิสงส์จีนออกมาตรการสกัดฟองสบู่ในประเทศ ทุนจีนขนเงินไล่ช็อปคอนโดฯกลางกรุงเทพฯยันพัทยา "จีแลนด์" ส้มหล่นปิดดีลเหมาซื้อห้องชุดเบลล์พาร์ค 80 ห้อง เป็นตัวกลางดึงนักลงทุนจีนซื้อยกตึกอีก 140 ห้อง "ศุภาลัย-กฤษดานคร" เผยนายหน้าจีน-มาเลเซียทาบซื้อห้องชุดยกชั้น ชี้จีนแห่ลงทุนทั้งอุตสาหกรรม การค้า ท่องเที่ยว ใช้ไทยเป็นฐานบุกตลาดอาเซียน
กระแสกลุ่มทุนต่างชาติขยายฐานธุรกิจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆการรวมตัวกันเป็นกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) สมบูรณ์แบบในปี 2558 ยิ่งใกล้เข้ามา ก็ยิ่งเห็นภาพความเคลื่อนไหวดังกล่าวชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนที่รุกเข้ามาลงทุนหลากหลายสาขา อาทิ ทางด้านอุตสาหกรรม ธุรกิจการค้า ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ รวมทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งเพื่อเก็งกำไรและลงทุนในระยะยาว ขณะเดียวกันก็หวังใช้ไทยเป็นฐานในการขยายการลงทุนในกลุ่ม AEC ประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนอสังหาฯ ล่าสุด กลุ่มทุนจีนบุกตลาดทั้งเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการ ลงทุนซื้อห้องชุดทั้ง 2-3 ห้อง และเหมาแบบยกลอต
ผู้สื่อข่าวสำรวจความเคลื่อนไหวชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองพบว่านับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมามีนักลงทุนชาวจีนซื้อคอนโดฯย่านรัชดาภิเษก ในลักษณะเจรจาซื้อบิ๊กลอตยกชั้นหรือซื้อยกอาคาร ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยสถานทูตจีนเหมาเบลล์พาร์ค
แหล่งข่าวจากบริษัทแกรนด์คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ "GLAND" ผู้พัฒนาโครงการ "แกรนด์ พระราม 9 สแควร์" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทเพิ่งปิดดีลขายคอนโดมิเนียม "เบลล์พาร์ค" (Belle Park) แบบบิ๊กลอตจำนวนกว่า 80 ยูนิต ให้กับสถานทูตสาธาณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยเบลล์พาร์คเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแกรนด์ พระราม 9 สแควร์ 
รายละเอียดดีลนี้ คอนโดฯเบลล์พาร์ค มีทั้งหมด 8 ทาวเวอร์ ยูนิตรวม 220 ยูนิต ทางสถานทูตจีนได้ขอซื้อคอนโดฯในทาวเวอร์ที่ 6 จำนวนกว่า 80 ยูนิต หรือประมาณ 30% เพื่อเป็นที่พักอาศัยแห่งใหม่ให้กับเจ้าหน้าที่ ส่วนห้องชุดที่เหลืออีก 140 ยูนิต สถานทูตทำข้อตกลงขอให้บริษัทหยุดพักการขายไว้โดยจะแนะนำชาวจีนที่สนใจมาซื้อ เพราะต้องการให้เป็นทาวเวอร์ที่มีแต่คนจีนพักอาศัย"เราเจรจากันมาระยะหนึ่งแล้วเหตุผลที่เขาสนใจเราเพราะตัวโครงการตั้งอยู่บนถนนรัชดาฯใกล้กับสถานทูตจีนและมีคนจีนพักในย่านนี้เยอะ คล้าย ๆ กับคนญี่ปุ่นที่นิยมอยู่ในซอยทองหล่อเพราะใกล้สถานทูตญี่ปุ่น ปัจจุบันเรามีสัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติกว่า 10-20% ยังต่ำกว่าที่ พ.ร.บ.อาคารชุดที่กำหนดสัดส่วนไว้ไม่เกิน 49%" แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับคอนโดฯ เบลล์พาร์ค แบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรกมี 4 ทาวเวอร์ ยูนิตรวม 1,000 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 90% กำลังทยอยโอนกรรมสิทธิ์ เฟสที่ 2 เป็นพื้นที่พลาซ่า 2 ชั้น และเฟส 3 เป็นคอนโดฯอีก 4 ทาวเวอร์ ประมาณ 1,000 ยูนิต จะก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี แต่ละทาวเวอร์มียอดขายแล้ว 20-50% นอกจากนี้ภายในโครงการแกรนด์ พระราม 9 สแควร์ กำลังก่อสร้างอาคารให้เช่าพื้นที่ 2 โครงการ คือ 1.โครงการยูเพลส ออฟฟิศให้เช่าพื้นที่ 1.8 หมื่นตารางเมตร และพื้นที่ค้าปลีก 4,300 ตารางเมตร ปัจจุบันมีกลุ่มยูนิลีเวอร์ขอจองเช่าพื้นที่ออฟฟิศทั้งหมดเป็นเวลา 29 ปี ค่าเช่าเริ่มต้นตารางเมตรละ 640 บาท 2.โครงการเดอะไนน์ สำนักงานให้เช่าพื้นที่ 5.8 หมื่นตารางเมตร ค่าเช่าเริ่มต้นตารางเมตรละ 520 บาท ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 50% ศุภาลัย-กฤษดาฯเนื้อหอม นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเคยได้รับการติดต่อจากนักลงทุนชาวจีนผ่านทางนายหน้าเพื่อขอซื้อห้องชุดในโครงการคอนโดฯแบบยกชั้น ประมาณ 10-20 ยูนิต ทราบว่าจะซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า คาดว่าเป็นเพราะช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเติบโตต่อเนื่องจึงสนใจเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯในกรุงเทพฯที่ราคายังไม่สูง อย่างไรก็ตามการเจรจาไม่ได้ข้อยุติเนื่องจากเป็นการซื้อแบบยกชั้น ทางตัวแทนจีนขอต่อรองส่วนลดค่อนข้างสูง แหล่งข่าวจากบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการเดอะคริส รัชดาฯ และเดอะคริส เอ็กซ์ตร้า พระราม 9 เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้บริษัทได้รับการติดต่อจากนายหน้าของนักลงทุนมาเลเซียเชื้อสายจีน เพื่อขอซื้อห้องชุดโครงการเดอะคริส รัชดาฯ แบบยกชั้น เมื่อประมาณไม่เกิน 1 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถตกลงกันได้เนื่องจากขอต่อรองส่วนลดมากถึงเกือบ 20% ขณะเดียวกันก็มีนักลงทุนชาวจีนและชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนที่ซื้อห้องชุดเฉลี่ยรายละ1-3ยูนิต เพื่อลงทุนปล่อยเช่าเนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่กลางเมือง และอยู่แนวรถไฟฟ้าใต้ดิน

เผยอสังหาฯไทยน่าลงทุน
แหล่งข่าวจากบริษัทตัวแทนขายและที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งเปิดเผยเพิ่มเติมว่าปรากฏการณ์กลุ่มลูกค้าคนจีนที่มาซื้อคอนโดฯในกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวมีอยู่ตลอดเวลา แต่น่าสังเกตว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปี 2555 ที่ผ่านมา 
ทั้งนี้บริษัทได้รับการติดต่อจากคนจีนที่สนใจซื้อคอนโดฯในเมืองไทยส่วนใหญ่ระบุความต้องการซื้ออยู่ในทำเลรัชดาฯ-พระราม9 ซึ่งเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ รวมทั้งหัวเมืองท่องเที่ยวคือพัทยา แต่ละรายซื้อเฉลี่ย 1-4 ยูนิต มีทั้งซื้อเพื่ออยู่เองและซื้อลงทุนปล่อยเช่า "เท่าที่ทราบโครงการคอนโดฯ ทีซีกรีน ย่านพระราม 9 ซึ่งมีนักลงทุนจีนร่วมทุนพัฒนาโครงการ มีสัดส่วนลูกค้าคนจีน 25% ของยอดขายทั้งหมด น่าจะเกิดจากปีที่ผ่านมาประเทศจีนได้ออกมาตรการสกัดฟองสบู่อสังหาฯ ผู้ที่ซื้อบ้านตั้งแต่หลังที่ 2 ขึ้นไปจะต้องเสียภาษีสูงขึ้น จึงออกมาซื้ออสังหาฯนอกประเทศแทนเพื่ออยู่เอง และลงทุนหาผลตอบแทนที่ยังสามารถทำกำไรในเมืองไทย ถ้าปล่อยเช่าเฉลี่ยมีผลตอบแทน 6-7%" แหล่งข่าวกล่าว

ทุนจีนใช้ไทยเป็นฐานบุก AEC
นายพิพิธ เอนกนิธิ รองกรรมการผู้จัดการ สายธุรกิจจีน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารกสิกรไทยได้ขยายธุรกิจเข้าไปเปิดสาขาในประเทศจีน ซึ่งขณะนี้ได้เปิดดำเนินการแล้ว 2 สาขา คือ ที่เมืองเสิ่นเจิ้น และเฉิงตู โดยกสิกรไทยมียุทธศาสตร์ที่จะเป็นสะพานเชื่อมการลงทุนของจีนกับอาเซียน นอกจากเป้าหมายเพื่อการเข้าไปให้บริการสินเชื่อกับธุรกิจเอสเอ็มอีจีนแล้ว อีกด้านหนึ่งก็เป็นการต่อยอดในการเป็นที่ปรึกษากลุ่มนักธุรกิจจีน ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย 
โดยขณะนี้มีภาพชัดเจนว่ามีนักธุรกิจจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยรวมถึงมีเป้าหมายจะใช้ไทยเป็นฐานเพื่อที่จะขยายการค้าการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่ผ่านมาเห็นแนวโน้มชัดเจนของนักลงทุนจีนที่เข้ามาไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ทางธนาคารก็ได้มีการตั้งทีมเพื่อดูแลกลุ่มลูกค้านักธุรกิจจีนที่เข้ามาเมืองไทยโดยเฉพาะด้วย

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จับตาอสังหาฯ-ก่อสร้างวิกฤติขาดแรงงาน


ปัญหาผู้รับเหมาฯ-แรงงานขาดแคลนเข้าขั้นวิกฤต อสังหาฯเผยไม่มีผู้รับเหมาฯเสนอประมูลงาน ตัดโอกาสผู้ประกอบการระดับกลาง-รายย่อย
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมอาคารชุดไทย จัดเสวนาพิเศษเรื่อง "วิกฤติแรงงานขาดแคลน ผลกระทบต่ออสังหาริมทรัพย์" (ในธุรกิจก่อสร้าง) ระบุว่า ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในธุรกิจก่อสร้าง กำลังเป็นปัญหาใหญ่เข้าขั้นวิกฤติ โดยมีภาวะขาดแคลนแรงงานในทุกกลุ่ม ทั้งแรงงานระดับหัวหน้าคุมงาน แรงงานระดับช่างฝีมือ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และแม้กระทั่งแรงงานไร้ฝีมือ ก็อยู่ในภาวะขาดแคลน ถึงขั้นต้องแย่งตัวแรงงานต่างด้าวที่ประจำในแต่ละไซต์งาน อีกทั้งมีปัญหาต้องเสียค่าใช้จ่ายปลีกย่อยหลายด้าน หากมีแรงงานต่างด้าวในครอบครอง ซึ่งเสี่ยงต่อการจ้างงานผิดกฎหมาย แต่หลายบริษัทก็ต้องรับสภาพ เนื่องจากมีภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก 
นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมอาคารขุดไทย กล่าวว่า สถานการณ์ที่ขาดแคลนแรงงานในภาคก่อสร้าง ผู้รับเหมาก่อสร้างจำเป็นต้องใช้แรงงานต่างด้าว จึงทำให้ปัจจุบันแรงงานต่างด้าวกลายเป็นแรงงานหลักในไซต์งานก่อสร้าต่างๆ ในปัจจุบัน ซึ่งพบว่าผู้รับเหมาฯแทบทุกรายล้วนใช้แรงงานต่างด้าว เกินกว่าครึ่งของแรงงานที่มี และยังพบว่าสถานการณ์จ้างงานก่อสร้างเปลี่ยนไป คือแต่เดิมเวลาจะเปิดประมูลงาน ต้องมีผู้รับเหมาฯมาเสนองาน 5 รายเป็นอย่างต่ำ แต่ปัจจุบันนี้แทบไม่ต้องประมูล เพราะอาจเรียกผู้รับเหมาฯมาเสนองานได้เพียง 1-2 รายเท่านั้น
ผู้รับเหมาฯเล่นตัวเมินประมูลงาน 
"ผู้รับเหมาฯเล่นตัวมากขึ้น ถึงขนาดบอกว่าถ้าไม่ใช่ลูกค้าเก่ากันมาก่อน คงไม่มารับงานให้ที่มาเสนองานครั้งนี้เพราะเกรงใจ" นายอธิป ย้ำและว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับ บริษัทพัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ ยิ่งหากเป็นรายกลาง-รายย่อย การหาผู้รับเหมาฯในขณะนี้เป็นเรื่องยากมาก หรือหากได้งานก็ต้องเสนอราคาจ้างงานที่สูงมาก เกินภาวะปกติไป 10-20% กลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ ไม่เพียงผู้รับเหมาฯ งานปลีกย่อยเช่น ตอกเสาเข็มก็เข่นกัน ต้องรอคิวถึง 45 วัน เพื่อจองตัวคนงานขับรถตอกเข็มซึ่งขาดแคลนหนัก เช่นเดียวกับช่างมุงหลังคาที่หาได้ยากงานล้นมือ หลายโครงการต้องกองกระเบื้องรอช่างนานนับเดือน

นอกจากนี้ แม้หลายโครงการมีผู้รัเหมาฯแล้วก็ใช่ว่าจะหมดปัญหา เพราะยังมีภาวะค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นซ้ำซ้อนอย่างไม่ควรเป็น กรณีที่ผู้รับเหมาฯใช้แรงงานต่างด้าว ซึ่งแน่นอนย่อมมีทั้ง ที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง และเข้ามาแบบไม่ถูกกฎหมาย จึงมักมีปัญหาต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว
"ขณะนี้มีไม่น้อยกว่า 14 หน่วยงาน ที่เวียนเข้ามาตรวจไซต์งานก่อสร้าง ขอให้คนงานต่อแถวตรวจเอกสาร บางครั้งต้องยกขบวนกันไปโรงพัก เสียเวลาทำงานเป็นวันๆ ส่งผลกระทบต่อการทำงานล่าช้าเสียหาย ผู้รับเหมาฯบางรายจึงยอมจ่ายเงินพิเศษ เพื่อตัดปัญหาแต่ก็พบกรณีเรียกตรวจทำนองนี้ค่อนข้างถี่ หลายรายยอมเสียค่าใช้จ่ายให้เจ้าหน้าที่แบบรายเดือนเพื่อตัดปัญหา แต่ก็กลายเป็นปัญหาต้นทุนซ้ำซ้อนบานปลาย" นายอธิป เผยและว่า ที่ผ่านมาเอกชนพยามปรับตัวด้วยการ นำระบบก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูปมาใช้ แต่ก็มีปัญหาเรื่องการยอมรับของตลาด เนื่องจากคุณภาพงานมีปัญหา จากรอยต่อชิ้นส่วนต่างๆ ที่มีกรณีน้ำรั่วซึมได้ เนื่องจากไทยเป็นเมืองร้อนชื้นฝนตกมากกว่าแถบยุโรปเจ้าของเทคโนโลยีต้นแบบ
นอกจากนี้ยังมีปัญหา แย่งตัวคนงานก่อสร้างกันแบบเฉพาะหน้า โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนพบว่ามีปัญหาถูกชิงตัว ถึงไซต์งานหากไม่มีหัวหน้างานคุมอยู่ ด้วยการเสนอค่าจ้างสูงกว่าเกือบเท่าตัว ดึงตัวคนงานจากไซต์หนึ่งไปอีกไซต์หนึ่งแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งกรณีการเสนอค่าจ้างแรงงานสูงกว่า เป็นอีกประเด็นปัญหาที่ทำให้คนงานต่างด้าวจำนวนหนึ่งไม่ต้องการขึ้นทะเบียน เพราะเมื่อขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวแล้ว จะทำให้การเคลื่อนย้ายที่ทำงานทำได้ยาก แม้กระทั่งการย้ายไซต์งานก่อสร้างก็ไม่สามารถทำได้ หากแจ้งขึ้นทะเบียนทำงานกับนายจ้างเดียวไว้ไซต์งานเดียวไว้ตั้งแต่แรก
เสนอผ่อนเกณฑ์ย้ายแรงงานต่างด้าว 
ปัญหาเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงานต่างด้าวทำได้ลำบาก เป็นอีกประเด็นที่กระทบต่อการดำเนินงาน เพราะแม้กระทั่งนายจ้างเดิมที่ขึ้้นทะเบียนแรงงานไว้ถูกต้อง ก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายกรณีที่จย้ายแรงงานต่างด้าว ไปทำงานนอกพื้นที่ที่แจ้งไว้รายละ 1,000 บาท/ต่อการแจ้งย้าย 1 ครั้ง ดังนั้นเอกชนจึงต้องการจอผ่อนผันเรื่องการย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่ด้วย
ด้านน.พ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ยอมรับว่าสถานการณ์แรงงานขณะนี้ขาดแคลนจริง โดยเฉพาะแรงงานไทยไม่นิยมทำงานในภาคก่อสร้างและภาคแรงงานพื้นฐานมากนัก ซึ่งความรุนแรงของปัญหามาจากหลายสาเหตุ ปัญหาใหญ่คือ โครงสร้างประชากรเปลี่ยน ทั้งเรื่องของอายุประชากร อาชีพที่เลือกได้ไมากขึ้น ปัจจุบันคนไทยเลือกอาชีพอิสระมากขึ้น เพราะทำง่ายรายได้ดี เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หาบแร่แผงลอย อาชีพรับจ้างอิสระ และค้าขายอื่นๆ ทำให้แรงงานหายไปหลายแสนคน
ปลัดกระทรวงแรงงาน เผยว่าข้อมูลล่าสุดมีผู้ประกอบการแจ้งโควต้าความต้องการแรงานเพิ่มอีก 2.1 ล้านคน แต่สถานการณ์ขณะนี้ เรามีแรงานในมือเพียง 5 แสนกว่าคน สรุปเรายังมีความต้องการแรงงานต่างด้าวอยู่ 1.6 ล้านคน ที่ถือได้ว่ายังขาดแคลน โดยจำนวนนี้ไม่รวมแรงงานผิกกฎหมาย 
หากดูจากสถาณการณ์ล่าสุด แรงงานต่างด้าวในไทยมีอยู่ 1.3 ล้านคน และยังอยู่ในมือผู้ประกอบการอีก 5 แสนคน ที่กำลังจะขึ้นทะเบียนรวมเป็น 1.8 ล้านคน ยังมีแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาทำงานแบบไม่เปิดเผยอีกราว 7 แสนคน รวมเป็นแรงงานต่างด้าวนในไทยทั้งสิ้นกว่า 2.5 ล้านคนเป็นอย่างน้อยแต่ก็ยังไม่เพียงพอ
จำนวนที่ยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการถึง 1.6 ล้านคนนั้น ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้แก้ปัญหา โดยได้ทำเอ็มโอยูลงนามความร่วมมือกับ 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา ในการนำเข้าแรงงานมาทำงานในไทย ซึ่งก็ช่วยได้ระดับหนึ่งแต่นยังไม่เพียงพอ เพราะในทางปฏิบัติจริงแรงงานตามเอ็มโอยู มีโอกาสจะได้มาเพียงจากพม่าเท่านั้น ขณะที่เวียดนาม และกัมพูชา มีโอกาสส่งแรงงานมาไทยน้อยมาก ที่เข้ามาส่วนใหญ่ล้วนเป็นการลักลอบแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
อีกทั้ง ล่าสุดสมาคมประมง ได้เรียกร้องมาว่าต้องการแรงงานเพิ่ม เนื่องจากปัจจุบันแรงงานพม่า และกัมพูชา ไม่ยอมลงเรือ ทำให้มีปัญหาหลอกคนไปทำงาน ปัญหาค้ามนุษย์ตามมา ล่าสุดก.แรงงานจึงประสาน ด้วยการจะทำเอ็มโอยูกับประเทศบังคลาเทศ เพื่อส่งแรงงานเข้ามาในภาคประมงไทย และอาจเพิ่มให้กับสมาคมด้านก่อสร้างที่แสดงความจำนงมาด้วยเช่นกัน
ส่วนประเด็นการย้ายไซต์งานของแรงงานก่อสร้าง น.พ.สมเกียรติ กล่าวว่า เรื่องนี้่จะรับไว้พิจารณาดำเนินการผ่อนผัน ให้สามารถทำได้ โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยกระทรวงฯจะรับไปดำเนินการต่อ และให้ระบุตั้งแต่ขั้นตอนการออกใบอนุญาตทำงาน โดยให้ระบบจำนวนไซต์งานของแรงงานนั้นๆ ได้มากว่า 1 แห่ง อาจได้ถึง 10 แห่งไว้ตั้งแต่ต้น
เกาะติดโครงการ2ล้านล้านหวั่นปัญหาซ้ำ 
นอกจากนี้ นพ.สมเกียรติ กล่าวว่า ทางกระทรวงยังมีความกังวล กับปัญหาที่อาจเกิดต่อเนื่องจากโครงการ 2 ล้านล้านบาท ของรัฐบาลที่จะสร้างระบบสาฤธาณูปโภคพื้นฐานอาจใช้แรงงานจำนวนมาก จะกลายเป็นการซ้ำเติมปัญหาแรงงานในภาคก่อสร้าง ที่ขาดแคลนหนักในปัจจุบัน จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปขอดูรายละเอียดโครงการดังกล่าว เพื่อประเมินว่าจะมีโอกาสใช้แรงงานเพิ่มอีกเพียงใด เพื่อนำมาวิเคราะห์วางแผนจัดเตรียมแรงงาน สำหรับป้อนภาคก่อสร้างให้เพียงพอ
ซึ่งในเรื่องนี้ ภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมก่อสร้าง ก็แสดงความกังวลเช่นกันว่า โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐในกลุ่มเมกะโปรเจคต่างๆ หากเปิดดำเนินการจริง อาจส่งผลกระทบการดึงผู้รับเหมาฯ และการดึงแรงงานซึ่งวิกฤติอยู่แล้ว ให้เลวร้ายซ้ำเติมขึ้นไปอีก สถานการณ์ขณะนี้ ผู้ประกอบการจึงพยายามทุกวิถีทางในการปรับตัวเพื่อรับมือปัญหา บางบริษัทมีการปรับระบบการบริหารงานก่อสร้าง เปิดแผนกควบคุมงานก่อสร้างขึ้นมาเป็นการเฉพาะ
อย่างกรณีล่าสุด บริษัท เอเชี่ยน พร็อเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) เปิดแผนกบริหารโลจิสติกส์ สำหรับงานก่อสร้างขึ้นมาเป็นกรณีเฉพาะกิจ โดยให้เหตุผลว่าต้องการบริหารงานก่อสร้างไม่ให้ติดขัด ซึ่งเนื้อหาใหญ่ก็คือกาแก้ปัญหาการก่อสร้างไม่ให้สะดุด จากปัญหาขาดแคลนผู้รับเหมาฯ และขาดแคลนแรงงานก่อสร้างในทุกระดับชั้นนั่นเอง
ขณะที่่เอกชนบางราย ยอมรับว่าภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นขณะนี้ บางบริษัท ถึงกับต้องปรับตัว โยกย้ายเจ้าหน้าที่ในไซต์งานก่อสร้าง ดึงส่วนงานที่ไม่ขาดแคลนมากมาเสริม งานที่ขาดแคลนหนัก โดยเฉพาะงานโฟร์แมนผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งใช้คนระดับอาชีวะ เป็นผู้ควบคุมแต่เนื่องจาก แรงงานในกลุ่มนี้ขาดแคลนมาก เพราะผู้จบอาชีวะมักจะกลับไปเรียนต่อเมื่อจบปริญญาตรีแล้ว ก็ไม่ยอมทำงานระดับโฟร์แมน ขยับไปสู่งานวิศวกรแทน หลายบริษัทจึงต้องปรับตำแหน่งวิศวกร ในแง่การทำงานลงมาเป็นงานระดับโฟร์แมน แต่เรียกตำแหน่งวิศวกรเช่นเดิม และจ่ายค่าจ้างระดับวิศวกร แต่ใช้งานในระดับต่ำลงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ซึ่งก็เป็นอีกค่าใช้จ่ายที่ทำให้ต้นทุนสูงเกินจริง