วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ราคาที่กลางกรุงแพงเว่อร์ ตารางวาละ2ล้าน

บริษัท เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย)จำกัด บริษัทที่ปรึกษาการขายและการลงทุน เผยการสำรวจราคาที่ดินต่อตารางวา ที่ซื้อขายกันในขณะนี้พบว่ามีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และบางพื้นที่มีราคาเพิ่มขึ้นกว่า 100% จากการประเมินราคาที่ดินของปี พ.ศ. 2555 - 2558 เช่น ถนนเพลินจิต ราชดำริ และวิทยุ ซึ่งสาเหตุของราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น อันดับหนึ่ง หนีไม่พ้นเรื่องทำเลที่ตั้ง ที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า การเดินทางสะดวกสบาย เป็นย่านที่มีความนิยมของชาวต่างชาติ และแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ในบางพื้นที่ อาจเกิดการพัฒนาอย่างหนาแน่นแล้ว เช่น ถนนสุขุมวิท สีลม สาทร
หากมองในอีกมุมหนึ่ง พื้นที่ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT กลายเป็นที่ดินที่น่าลงทุน เช่นถนนรัตนาธิเบศ, บางใหญ่, แจ้งวัฒนะ, เพชรเกษม, พระราม 2 และ ราชพฤกษ์ เป็นต้น เพราะมีที่ดินราคายังไม่สูงมากนัก คุ้มค่าแก่การลงทุนหากมองในระยะยาว นอกจากนี้โครงการขนาดใหญ่ (Mega Project) ของภาครัฐในการสร้างรถไฟความเร็วสูง ส่งผลให้ราคาที่ดินเส้นทางผ่านของรถไฟฟ้ามีราคาสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดอยุธยา พิษณุโลก เชียงใหม่ และนักพัฒนาบางรายได้เข้าไปจับจองที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อไป ซึ่งอสังหาฯ ไม่ได้ส่อแววชะลอตัว แต่กระจายตัวมากกว่า
นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นว่า ขณะนี้ราคาเสนอขาย หรือ Asking Price ในทำเลดีเป็นที่น่าตกใจมาก คือเสนอสูงถึง 2 ล้านบาทต่อ ตร.ว.ในขณะที่ราคาซื้อขายของ สุขุมวิท สูงถึง 1,5 ล้านบาท ต่อตร.ว. จากราคาประเมินอยู่ที่ 5.2 แสนบาทต่อ ตร.ว.เท่านั้น เท่ากับเพิ่มขึ้นถึง 188.46% เช่นเดียวกับ สุขุมวิท-ทองหล่อ ที่ราคาสูงถึง ตร.ว.ละ 1,2 - 1.5 ล้านบาท
ถนนสาทร ราคาประเมินอยู่ที่ 4.5-6 แสนบาท แต่ราคาขายจริงสูงถึง 1 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ ถนนสาทรไม่มีที่ดินขนาดใหญ่ เพียงพอต่อการพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งหากราคาที่ดินมีมูลค่าสูงเพียงนี้ สิ่งที่เป็นปัญหาต่อมา คือ หากเมื่อมีการพัฒนาโครงการแล้ว ราคาต่อยูนิต หรือต่อตร.ม.เท่าไหร่ ถึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน
โดยเฉพาะย่านสุขุมวิท ตอนต้น-ตอนกลาง มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินสูงถึง 300% เมื่อเทียบจากราคาประเมิน คือมีการเสนอขายกันในราคา 1,6 ล้านบาทต่อตร.ว. หากมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในเส้นทางนี้ จะต้องขายในราคา ไม่ต่ำว่า 2.5 แสนบาทต่อตร.ม. ถึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน เช่นเดียวกับย่านทองหล่อ และสุขุวิท ตามลำดับ แต่ในขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบจากตาราง ย่านเจริญนคร และกรุงธนบุรี ที่ดินมีอัตราการเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งส่งผลให้เห็นว่าการลงทุนในพื้นที่ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้านั้น มีความคุ้มค่าเกิดขึ้น

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เซ็นทรัลสยายปีกผุดศูนย์การค้ามาเลเซีย ร่วมทุนยักษ์I-BERHAD สร้าง"รีจินัล มอลล์"มูลค่า5,800 ล้าน

ซีพีเอ็นเผยโครงการแรกรับเออีซีลงนามเข้าทำสัญญาร่วมทุนร้อยละ 60 กับบริษัทไอซีพี เครือI-BERHAD ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่มาเลซีย ลงทุนศูนย์การค้าในโครงการไอ-ซิตี้้ เมืองชาห์อลัม รัฐสลังงอร์ มุ่งสู่ผู้นำค้าปลีกระดับภูมิภาค 

นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า เมื่อวันที่่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามหนังสือแสดงความประสงค์เพื่อจะเข้าทำสัญญาร่วมทุนกับ I-City Properties Sdn Bhd หรือไอซีพีบริษัทในเครือของ I-Berhad ยักษ์ใหญ่ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมาเลเซีย การร่วมทุนที่จะเกิดขึ้นทางไอซีพีจะถือหุ้นในสัดส่วน 40% และซีพีเอ็นโดยบริษัทย่อยที่จะได้จัดตั้งขึ้นในประเทศมาเลเซีย จะถือหุ้นในสัดส่วน 60% เพื่อพัฒนาศูนย์การค้าแห่งแรกของซีพีเอ็น ในมาเลเซียรูปแบบ "รีจินัล มอลล์" มูลค่า 580 ล้านริงกิต หรือประมาณ 5,800 ล้านบาท ภายในโครงการไอ-ซิตี้้ ซึ่งเป็นเมืองเทคโนโลยีแห่งใหม่ของมาเลเซียในเขต 7 ของเมืองชาห์อลัม รัฐสลังงอร์ 

"ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการนำพาธุรกิจไปสู่อาเซียน มุ่งสู่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกระดับภูมิภาคต่อไป การขยายไปสู่มาเลเซียเนื่องจากมีความมั่นใจในเศรษฐกิจ เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจในประเทศนี้ที่กำลังเติบโตและมีความแข็งแกร่งในทุกด้าน โดยเฉพาะเมืองชาห์อลัม เมืองหลวงของรัฐสลังงอร์ ซึ่งมีประชากรมากกว่า 600,000 คน มีการเติบโตของกลุ่มคนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว และด้วยความสัมพันธ์อันดีกับภาครัฐของไอซีพี ความเชี่ยวชาญของบริษัทด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกจะช่วยให้การพัฒนาศูนย์การค้าแห่งใหม่นี้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี" นายกอบชัยกล่าว 

นายกอบชัยกล่าวว่า การร่วมทุนพัฒนาศูนย์การค้าในรูปแบบ "รีจินัล มอลล์" จะทำบนที่ดินขนาดกว่า 28 ไร่ พื้นที่โครงการทั้งหมดประมาณ 138,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) แบ่งเป็นพื้นที่ขายประมาณ 89,700 ตร.ม. โดยซีพีเอ็นจะควบคุมการออกแบบ พัฒนาศูนย์การค้าและบริหารศูนย์การค้าแห่งนี้ในฐานะบริษัทบริหารศูนย์การค้า เพื่อให้เป็นเป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์ทันสมัยทั้งการช็อปปิ้ง บันเทิง และเป็นศูนย์กลางการพบปะของชุมชนในเขตตะวันตกของรัฐสลังงอร์ ของประเทศมาเลเซีย การก่อสร้างศูนย์การค้าแห่งนี้คาดว่าจะเริ่มปี 2557 เปิดให้บริการปี 2559 

นายกอบชัยกล่าวว่า สำหรับไอซีพีเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของ I-Berhad ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ของมาเลเซียโดยเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซ่า มาเลเซีย และเป็นผู้พัฒนาโครงการไอ-ซิตี้้ ซึ่งเป็นเมืองเทคโนโลยีแห่งใหม่ของมาเลเซียบนที่ดินพื้นที่ประมาณ 182 ไร่ ตั้งอยู่บนทางหลวงหลักของเมือง โครงการนี้ประกอบด้วยศูนย์การค้า อาคารสำนักงานไซเบอร์ เซ็นเตอร์ สำนักงานของบริษัทชั้นนำ โรงแรม อาคารที่พักอาศัยและพื้นที่ค้าปลีก 

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อิตาเลียนไทยปิดตำนานโฮปเวลล์สร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง

อิตาเลียนไทยปิดตำนานโฮปเวลล์ หลังเริ่มเข้าพื้นที่เพื่อรื้อถอนตอหม้อโครงการในตำนาน เพื่อเตรียมที่สำหรับก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง
 
หลังจากที่บริษัท อิตาเลียน ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้รับการว่าจ้างจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ให้เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต ล่าสุดบริษัทได้เริ่มเข้าพื้นที่ดังกล่าวเพื่อทำการรื้อถอนเสาตอม่อโฮปเวลล์บริเวณริมถนนวิภาวดี-รังสิต ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 500 ต้นรวมระยะทางราว 26 กิโลเมตร
 
ทั้งนี้ ตามรายงานของสำนักข่าวไทยพีบีเอสระบุว่า อิตาเลียนไทยจะสามารถดำเนินการรื้อถอนเสาทั้งหมดให้แล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยงบประมาณในการรื้อถอนครั้งนี้อยู่ที่ประมาณกว่า 200 ล้านบาท โดยจะนำเสาที่ได้จากการรื้อถอนในครั้งนี้ไปทำการแปรสภาพเป็นคอนกรีตสำเร็จรูปที่ศูนย์อุตสาหกรรมอิตาเลียนไทยในจังหวัดสระบุรีต่อไป
 
สำหรับโครงการโฮปเวลล์ หรือ โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพฯ นั้นเป็นแผนที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ปี 2533 เพื่อลดปัญหาด้านการจราจรโดยสร้างคร่อมทางรถไฟเป็นระยะทาง  60.1 กิโลเมตรแต่การก่อสร้างเป็นไปอย่างล่าช้าและประสบกับปัญหามากมายจนมีการยกเลิกสัญญาการก่อสร้างดังกล่าวในสมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อปี 2540
 

 

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อุดรกระจกรถยนต์ปรับแผนธุรกิจขยายตลาดฟิล์มติดอาคารรับอสังหาฯ บูม


นางศมน ชคัตาดากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุดรกระจกรถยนต์ เปิดเผยว่า บริษัทจัดตั้งทีมงานใหม่เข้ามาดูงานขายสายผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ฟิล์มอาคาร   หลังจากเห็นโอกาสการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใน จ.อุดรธานี ที่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 3,000 ยูนิต ภายใน 1-3 ปีนี้จากการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหญ่เช่น แสนสิริ ลุมพินี เป็นต้น

 ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจบริการด้านติดตั้งกระจกรถยนต์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์และอื่นๆมานานกว่า 18 ปี และมองเห็นโอกาสจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจ.อุดรธานี ที่ต่อเนื่องในช่วง3 ปีที่ผ่านมาจากการเข้ามาของนักธุรกิจและผู้ประกอบการต่างๆ ทั้งค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ทำให้เศรษฐกิจและชุมชนขยายตัว มีคนทำงานจากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาอาศัยในอุดรฯ เพิ่มขึ้นทุกปี

 "ปัจจัยดังกล่าวบริษัทมองว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจบริการฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์จากจำนวนรถยนต์ที่จะขยายตัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เศรษฐกิจประชาคมอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 นี้ ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะมีความคึกคัก" นางศมน กล่าว

 นอกจากนี้ จากการขยายไลน์สินค้าในกลุ่มฟิล์มอาคารดังกล่าว เป็นการประกันความเสี่ยงรายได้ให้กับบริษัทในระยะกลางและระยะยาวด้วย หลังจากสิ้นสุดโครงการรถคันแรก แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะส่งผลดีให้กับธุรกิจจากการที่มีจำนวนรถยนต์เข้ามาใช้บริการติดฟิล์มกรองแสงเพิ่มมากขึ้น และทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เทียบในช่วงเดียวกันกับปีก่อน
 ปัจจุบันธุรกิจในเครือบริษัทเปิดให้บริการ 3 สาขา ในภาคอีสาน คือ อุดรธานีอุบลราชธานี และขอนแก่น มีพนักงานรวมทั้งสิ้นราว 150 คน โดยในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 200-300 ล้านบาทเติบโต 20% จากปีก่อนมีอัตราเติบโตเฉลี่ย10%
 ล่าสุด บริษัทได้รับรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ประจำปี 2555 ประกาศผลเมื่อวันที่24 เม.ย.ที่ผ่านมา ในด้านกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ซึ่งความสำเร็จมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.ด้านบุคลากร 2.ระบบการเงินการบัญชีที่ตรวจสอบได้และโปร่งใส และ 3.การพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องและนำข้อมูลด้านต่างๆมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาธุรกิจ

 ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556



การสังเคราะห์
(อังกฤษ: Synthesis) มาจากคำว่า syn- แปลว่า ร่วม และคำว่า thesis แปลว่า ปรากฏการณ์ใหม่ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณว่า σύνθεσις โดยคำแรก σύν มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า with ส่วนคำหลัง θέσις มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า placing (sunthesis :ในกรีกโบราณรวมความแล้วมีความหมายคือ ประชุม)การสังเคราะห์ เป็นกระบวนบูรณาการปัจจัยต่างๆตั้งแต่สองปัจจัยขึ้นไปซึ่งอาจเป็นได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของรวมทั้งเหตุการณ์และสิ่งที่อยู่ในรูปของแนวคิดเข้ามาเป็นองค์ประกอบร่วมกันเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่หรือเกิดปรากฏการใหม่ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการบูรณาภาพ โดยปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆที่เข้ามาสู่กระบวนบูรณาการในการสังเคราะห์นั้นบางปัจจัยอาจจะได้ผ่านการวิเคราะห์แยกแยะสืบค้นมาก่อนแล้วขณะที่บางปัจจัยก็อาจจะยังไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์แยกแยะสืบค้นมาก่อน สภาวะรูปของปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆที่นำมาเป็นปัจจัยและองค์ประกอบในการสังเคราะห์นั้นอาจเป็นไปได้ทั้งแบบรูปธรรมและนามธรรม ซึ่งบูรณภาพที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่หรือสิ่งใหม่อันเกิดขึ้นจากการสังเคราะห์นั้นก็เป็นไปได้ทั้งแบบรูปธรรมและนามธรรมเช่นกัน.
การวิเคราะห์ 
เป็นการแยกแยะสิ่งที่จะพิจารณาออกเป็นส่วนย่อยที่มีความสัมพันธ์กัน เพื่อทำความเข้าใจแต่ละส่วนให้แจ่มแจ้ง รวมทั้งการสืบค้นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ เพื่อดูว่าส่วนประกอบปลีกย่อยนั้นสามารถเข้ากันได้หรือไม่ สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างแท้จริง โดยพื้นฐานแล้ว การวิเคราะห์ถือเป็นทักษะที่มนุษย์ฝึกได้ โดยมีผู้กล่าวไว้ว่าทักษะการวิเคราะห์ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
   ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ ตลอดจนทัศนะคติในเรื่องที่จะวิเคราะห์นั้นๆ 40% รวมเรียกว่าศาสตร์
   ศิลปะการใช้ภาษา การสื่อสาร การถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจมุมมอง 40% รวมเรียกว่าศิลป์
   สัญชาติญาณและความกล้าหาญอีก 20% เรียกว่าพรสวรรค์
 

เจาะตลาดอสังหาริมทรัพย์นครราชสีมามาแรง


หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในกรุงเทพฯ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ต่างขยายโครงการออกสู่ภูมิภาคเป็นการใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหัวเมืองตากอากาศอย่างหัวหินที่โครงการคอนโดมิเนียมขึ้นเป็นดอกเห็ด และอีกภาคหนึ่งที่กำลังร้อนแรง นั่นคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งกำลังมีการขยายตัวที่ร้อนแรงไม่แพ้ภาคอื่นๆ

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ "วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย นครราชสีมา" โดยนายสัมมนา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์หลังจากสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยล่าสุดในพื้นที่ดังกล่าวมีข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งทำการสำรวจเฉพาะอำเภอเมืองและอำเภอปากช่อง พบหน่วยที่อยู่อาศัยในผังของโครงการ ซึ่งอยู่ในระหว่างการขาย ประเภทบ้านจัดสรรประมาณ 6,900 หน่วย และห้องชุดประมาณ 730 หน่วย ในประเภทบ้านจัดสรรมีหน่วยของโครงการบ้านจัดสรรซึ่งอยู่ระหว่างการขายประมาณ 6,900 หน่วย จากโครงการจัดสรร 55 โครงการซึ่งมีการขายต่อเนื่อง มีมูลค่าโครงการการรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 22,900 ล้านบาท ขายได้แล้วสะสม ประมาณ 4,100 หน่วย หรือขายได้แล้วร้อยละ 60 ของหน่วยในผังทั้งหมดเหลือขายประมาณ 2,800 หน่วย มูลค่าเหลือขายรวมประมาณ 10,300 ล้านบาท  ในจำนวนนี้ มีประมาณ 51 โครงกร 6,400 หน่วย ที่เปิดขายก่อนไตรมาส 3 ปี 2555 หน่วยบ้านจัดสรรประมาณร้อยละ 6 อยู่ในระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ร้อยละ 2.1-3 ล้านบาท และร้อยละ 33 อยู่ในระดับราคา3.1-5 ล้านบาท จากหน่วยในผังโครงการจัดสรรทั้งหมด อยู่ในอำเภอเมืองประมาณ 5,900 หน่วย และอำเภอปากช่องประมาณ 1,100 หน่วย เป็นทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 400 หน่วย ที่เหลือเป็นบ้านแฝด และอาคารพาณิชย์

สำหรับสถานะของการก่อสร้าง พบว่า เป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างประมาณ 1,800 หน่วย อยู่ระหว่างก่อสร้างประมาณ 1,900 หน่วย และส่วนใหญ่ก่อสร้างแล้วเสร็จมีเหลือขาย (หรือเป็นบ้านว่าง) ประมาณ 200 หน่วย

ส่วนอัตราการดูดซับของบ้านจัดสรรในนครราชสีมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 หรือหมายความว่า หากไม่มีการเปิดขายหน่วยบ้านจัดสรรใหม่เลย ตลาดจะขายได้หมดภายในระยะเวลาประมาณ 17 เดือน อย่างไรก็ตามในช่วงระหว่างตุลาคม 2555- มีนาคม 2556 มีโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่อีก 4 โครงการ รวมประมาณ 23 หน่วย โดยอยู่ในอำเภอปากช่อง 2 โครงการ รวมประมาณ 120 หน่วย และอำเภอเมือง 2 โครงการ รวมประมาณ 110 หน่วย

ในประเภทอาคารชุด มีห้องชุดซึ่งอยู่ระหว่างการขายทั้งหมดประมาณ 730 หน่วย จากประมาณ 7 โครงการมูลค่าโครงการรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 2,900 ล้านบาท ขายได้แล้วสะสมประมาณ 560 หน่วย หรือขายได้แล้ว ประมาณ ร้อยละ 76 ของหน่วยในผังทั้งหมดอยู่ในอำเภอเมืองประมาณ 240 หน่วย ในอำเภอปากช่องประมาณ 490 หน่วย เป็นห้องแบบสตูดิโอประมาณ 120 หน่วย แบบหนึ่งห้องนอนประมาณ 140 หน่วย แบบสองห้องนอนประมาณ 450 หน่วย และแบบสามห้องนอน 30 หน่วย

สำหรับสถานะของการก่อสร้าง พบว่า เป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างประมาณ 160 หน่วย อยู่ระหว่างก่อสร้างประมาณ 410 หน่วย และก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 160 หน่วย โดยจากหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จมีเหลือขาย (หรือเป็นห้องว่าง)ประมาณ 50 หน่วย

ส่วนอัตราการดูดซับของห้องชุดในนครราชสีมา อยู่ที่ประมาณร้อยละ 22 หรือหมายความว่าหากไม่มีการเปิดขายหน่วยห้องชุดใหม่เลย ตลาดจะขายได้หมดภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 เดือน

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 เดือนล่าสุด ระหว่างตุลาคม 2555 - มีนาคม 2556 มีโครงการอาคารเปิดขายใหม่อีกประมาณ 11 โครงการ ด้วยจำนวนหน่วยรวมประมาณ 2,250 หน่วย โดยอยู่ในอำเภอปากช่อง 8 โครงการ รวมประมาณ 1,290 หน่วย และอำเภอเมือง 3 โครงการ รวมประมาณ 960 หน่วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

คอนโด จุดเสี่ยงฟองสบู่!!


'คอนโดจุดเสี่ยงฟองสบู่ ห่วงสร้างไม่เสร็จ - คนแห่ทิ้งใบจอง : ณัฎฐ์ชิตา เกิดแดง ... รายงาน
ความร้อนแรงของภาคอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีอัตราเร่งตัวขึ้นมากเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะในตลาดต่างหวัดที่ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กรายใหญ่แข่งขันกันเปิดตัว จนทำให้หลายฝ่ายจับตาว่าอาจซ้ำรอยปัญหาฟองสบู่
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ยอมรับว่า การเปิดตัวของที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีการเปิดตัวของที่อยู่อาศัยมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนจริง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมมีการเปิดตัวถึง 27,800 หน่วย จำนวน 60 โครงการ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ประกอบการหันไปลงทุนทำคอนโดแทนบ้านแนวราบ เพื่อหนีปัญหาน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นอีก แต่ปัจจัยหลักจริงๆ คือมาจากราคาที่ดินที่สูงขึ้นมาก และมีข้อจำกัดด้านผังเมืองตามกฎหมายใหม่ รวมถึงการลงทุนดักรอโครงการรถไฟฟ้า 10 สายที่จะเกิดขึ้นในกทม.ทำให้การเปิดตัวโครงการขณะนี้อาจจะมากกว่าความต้องการซื้อจริงไปบ้าง   “ราคาที่ดินแพงขึ้นมาก โดยเฉพาะราคาซื้อขายสูงเกินราคาประเมินไปมาก ที่ดินย่านกลางๆ สุขุมวิทราคาตารางวาละ 1 ล้านบาท ขณะนี้ขยายมาถึงต้นซอยสุขุมวิทแล้ว แต่ผู้ประกอบการก็แข่งกันเปิดตามแนวรถไฟฟ้าอยู่ดี เพราะมองว่ายังมีกำลังซื้ออีกมาก ทางศูนย์อสังหาฯ ได้เตือนผู้ประกอบการไปแล้วว่าอย่าเร่งเปิดโครงการมากเกินไป แต่ในกทม.ไม่น่าห่วงเท่าต่างจังหวัด เพราะมีโอกาสที่จะขายได้ทั้งอยู่จริงหรือซื้อลงทุนและเก็งกำไร
 ต่างจังหวัดแข่งจองต่ำดาวน์ถูก
 นายสัมมากล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2555 เป็นต้นมา พบว่าในต่างหวัดมีการเปิดตัวโครงการเยอะมาก เหตุที่ตลาดบูมส่วนหนึ่งเป็นเพราะก่อนหน้านี้คนกรุงเทพฯ ปริมณฑล มีการอพยพหนีน้ำท่วมไปอยู่ต่างจังหวัดกว่า 1 ล้านคน ทั้งไปอยู่ถาวรและชั่วคราวจึงมีการลงทุนซื้ออสังหาฯ เป็นบ้านหลังที่ 2 โดยเฉพาะคอนโด ทำให้ผู้ประกอบการเห็นช่องทางการขยายการลงทุนออกไปตามหัวเมืองทั้ง พัทยา ชลบุรี หัวหิน หรือหลายจังหวัดในภาคอีสาน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ขณะที่ผู้บริโภคเองก็มองว่าการซื้อบ้านหลังที่สองถือเป็นหลักประกันความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงตามไปจองซื้อโครงการที่เปิดใหม่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะโครงการที่เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ
 จากการแข่งขันกันเปิดตัวโครงการและขยายการลงทุนดังกล่าว ทำให้ราคาที่ดินในต่างจังหวัดขยับสูงขึ้นมากเช่นกัน โดยเฉพาะในจังหวัดที่ติดต่อกับเพื่อนบ้านอย่างภาคอีสานก็เป็นการขยายตัวเพื่อรองรับเออีซี เพราะได้อานิสงส์จากการที่ประเทศลาวมีเศรษฐกิจและกำลังซื้อสูงขึ้น หรือจังหวัดต่างๆ ที่เป็นเส้นทางของรถไฟความเร็วสูงก็ขยับขึ้นเช่นกัน ถือเป็นการเก็งกำไรที่ดินรับอนาคตที่ไม่ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นอีกกี่ปีด้วยซ้ำ
 ทั้งนี้ การแข่งขันกันเปิดโครงการทั้งรายใหญ่รายเล็ก จึงมีการแข่งขันกันทำราคา เช่น จอง 999 บาท ผ่อนดาวน์เดือนละพันกว่าบาท หรือมีของแถมล่อใจ ทำให้เสียงสะท้อนที่ได้รับจากผู้ประกอบการขณะนี้ส่วนใหญ่ระบุว่ายอดจองเข้ามามากหรือขายได้หมด ทำให้ยิ่งเปิดโครงการใหม่ๆ เพราะคิดว่ายังมีความต้องการซื้ออยู่ ทั้งๆ ที่โครงการเก่ายังก่อสร้างไม่เสร็จ เพราะคอนโดส่วนใหญ่จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณปีกว่า สำหรับการจองซื้อคอนโดในต่างจังหวัดพบว่ามี 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ซื้ออยู่จริง ซึ่งเป็นกลุ่มคนในพื้นที่ที่เปลี่ยนพฤติกรรมจากอยู่บ้านแนวราบมาอยู่คอนโดแทน กลุ่มคนจากจังหวัดใกล้เคียงที่มาทำงานหรือส่งลูกหลานมาเรียนหนังสือ ที่ซื้อแทนการเช่าหอพัก และกลุ่มนักลงทุนจากจังหวัดอื่นๆ ที่เข้าไปซื้อเพื่อยู่จริง ลงทุน หรือเก็งกำไร  “หากดูการซื้อเพื่อลงทุนกับเก็งกำไรแล้ว น่าจะมีประมาณ 10-15% ซึ่งการซื้อเพื่อลงทุนต่างจากเก็งกำไรตรงที่ตั้งใจจะโอนจริง แต่อาจเอาไว้ขายต่อหรือปล่อยให้เช่า ส่วนเก็งกำไรจะไม่รอโอน แต่จะขายใบจองก่อน พบว่าบางโครงการมีคนจองถึง 6-8 ห้องทีเดียว โดยปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ทองราคาลง จึงหันมาลงทุนอสังหาฯ หากเป็นเงินในกระเป๋าตัวเองก็ไม่เสี่ยง แต่ถ้ากู้เงินมาซื้อก็คงไม่ดี
 ฟันธงปีนี้ไร้ฟองสบู่จับตาปีหน้า
 นายสัมมา ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณของฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ ซึ่งการจะออกมาตรการมาคุมอาจทำให้ภาคอสังหาฯชะงักได้ โดยเฉพาะในส่วนของบ้านหลังแรก ส่วนบ้านหลังที่ 2 นั้น จะคุมหรือไม่คุมก็ได้ แต่ส่วนตัวเห็นว่าปัจจุบันนี้มีความจำเป็นเผื่อกรณีฉุกเฉิน จึงไม่ควรเข้มงวดเกินไป อย่างไรก็ตาม บ้านหลังที่ 3 เป็นต้นไป ควรจะมีควรเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตทั้งการเก็งกำไรและฟองสบู่ แต่ต้องกำหนดคำนิยามของบ้านหลังแรกให้ชัดเจนเหมือนในต่างประเทศ ซึ่งบ้านหลังแรกอาจไม่ใช่บ้านหลังแรกในชีวิต โดยอาจมีการกำหนดช่วงเวลาการซื้ออสังหาฯ ภายใน 5-10 ปีก็ได้  “มาตรการเพิ่มเงินดาวน์เป็นเพียงการคุมที่ปลายเหตุ จริงแล้วต้องคุมที่ต้นเหตุด้วย โดยเฉพาะการปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการของแบงก์ เพราะที่น่าเป็นห่วงคือการเปิดโครงการในต่างจังหวัดมากและเร็วเกินไป ทั้งๆ ที่ระบบขนส่งมวลชนยังไปไม่ถึง โดยบางโครงการที่เปิดตัวปี 2555 จนถึงขณะนี้ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเกิดการแย่งผู้รับเหมาและแรงงานขาดแคลนด้วย จึงต้องจับตาว่าในปีนี้จะมีโครงการที่สร้างไม่เสร็จและเลื่อนไปปีหน้ามากน้อยแค่ไหน หรือมีการทิ้งใบจองหรือเงินดาวน์หรือไม่อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาฟองสบู่ แต่หากผู้ประกอบการยังเกินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ขณะที่มีความเสี่ยงต่างๆ เกิดขึ้น ทั้งเศรษฐกิจแย่ลง เงินบาทแข็งค่า ส่งออกลดลง ก็อาจจะเห็นการทิ้งโครงการหรือสร้างไม่เสร็จเกิดขึ้นเหมือนปี 2540 ซึ่งปีนี้คงไม่เห็นแต่ปีหน้าคงต้องจับตาดูต่อไปสอดคล้องกับที่นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยถึงผลสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่าอสังหาฯ ทุกประเภทเปิดตัวใหม่อย่างคึกคัก โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในไตรมาส 1 ปีนี้มีสูงถึง 29,783 ยูนิต มูลค่าโครงการ 79,942 ล้านบาท หรือเฉลี่ยยูนิตละ 2.684 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วที่ค่าเฉลี่ย 3 ล้านบาท ขณะที่สินค้าที่เปิดใหม่เป็นห้องชุดมีมากถึง 78% ของทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคาปานกลาง-ต่ำ คือราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท แสดงถึงอาการเก็งกำไรพอสมควร
 ทริสมองลงทุนคอนโดเสี่ยงสูงสุด
 ด้านนายสันติ กีระนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าวว่า ในส่วนของผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมีโอกาสเกิดฟองสบู่ได้ หากเศรษฐกิจของประเทศสะดุด และกลุ่มที่น่าเป็นห่วงสุดคือ กลุ่มผู้ประกอบการที่เน้นคอนโดมิเนียมแนวสูง มีอัตราหนี้สินต่อทุนสูง เนื่องจากต้องใช้เวลาในการก่อสร้างนานกว่า 3 ปี จึงจะทยอยรับรู้รายได้ หากในช่วงเวลาดังกล่าว มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็จะเกิดปัญหา ทั้งการก่อสร้างสะดุดและเกิดภาวะฟองสบู่เหมือนกับปี 2540 ทันที จึงเห็นด้วยที่ ธปท.จะออกมาตรการคุมเข้มสินเชื่ออสังหาฯมากขึ้น  ส่วนกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบและคอนโดมิเนียมที่สูงไม่เกิน 8 ชั้น จะใช้เวลาในการก่อสร้างไม่นาน แม้เศรษฐกิจจะมีปัญหากลุ่มดังกล่าวก็สามารถอยู่รอดได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบ ส่วนใหญ่จะสร้างบ้านตามคำสั่งของลูกค้าอยู่แล้วจึงไม่ค่อยมีปัญหา อีกทั้งหากดูตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลกลุ่มที่อยู่อาศัยยังถือว่ามีน้อยมาก ดีมานด์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจึงเป็นของจริง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่เพิ่งจบใหม่ ก็จะหันมาซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมเป็นอันดับแรก และตัวแปรสุดท้ายก็คือทิศทางดอกเบี้ย หากดอกเบี้ยขยับขึ้นก็จะทำให้ดีมานด์ลดลงทันทีนายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด หรือ บสก.มองว่า ยังไม่เห็นสัญญาณของฟองสบู่จากภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เองได้เข้มงวดในการปล่อยกู้กับผู้ประกอบการและผู้ซื้อรายย่อยมากขึ้น ดังนั้น จึงไม่น่ากังวล ส่วนที่มองกันว่าจะเกิดฟองสบู่นั้น น่าจะเกิดจากโครงการต่างๆ ที่ขายไม่หมด และจริงๆ ฟองสบู่ก็น่าจะเกิดมาจากเงินเฟ้อก่อน จึงเชื่อว่าธปท.ยังไม่น่าจะมีมาตรการควบคุมอะไรออกมาในระยะนี้ แต่อาจจะกระจายการควบคุมสินเชื่อบ้านซึ่งถือว่าเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ
 ที่มา: http://www.komchadluek.net