วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

3ทำเลทองบูม

บิ๊กอสังหาฯ ฟันธงจุดตัดรถไฟฟ้า ดันที่ดิน 3 ทำเลทอง แห่งใหม่เมืองกรุง
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการผู้จัดการ สายงานคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า แนวโน้มทำเลที่ใกล้จุดตัดสถานีของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ได้แก่ บริเวณบางซื่อ เตาปูน และบางหว้า จะเป็นจุดเชื่อมต่อสำหรับการเดินทางที่สำคัญของเมืองในอนาคต และจะทำให้ทำเลดังกล่าวมีโอกาสในการพัฒนาเหมือนกับทำเลที่เป็นจุดตัดสถานี รถไฟฟ้าในปัจจุบัน เช่น จุดตัดบริเวณสถานีสยามสแควร์ และบริเวณสถานีอโศก เป็นต้น
สำหรับทำเลบริเวณรถไฟฟ้าสถานีบางซื่อ ในอนาคตจะเป็นจุดตัดสำคัญของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) กับเส้นส่วนต่อขยายจากบางซื่อ-ท่าพระ และเส้นสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยที่ดินบริเวณบางซื่อส่วนใหญ่เป็นที่ดินของรัฐ และของกลุ่มบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย ทำให้การพัฒนาจึงขยับไปอยู่บริเวณถนนประชาราษฎร์สาย 1-2 แทน และคาดว่าบริเวณนี้จะคึกคักมากขึ้น โดยราคาที่ดินในย่านนี้ขยับจากหลักหมื่นปลายๆ ไม่ถึงแสนบาท มาอยู่ที่ 2 แสนบาทต่อตารางวา (ตร.ว.) ภายใน 3 ปี
ขณะที่ทำเลย่านเตาปูนก็จะเป็นจุดตัดสำคัญระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ และสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) โดยทำเลเตาปูนยังมีที่ดินให้พัฒนาอีกมาก และเป็นพื้นที่รองรับการขยายตัวจากสถานีบางซื่อที่พัฒนาไม่ได้มากด้วยเช่น กัน โดยราคาที่ดินย่านนี้ปรับขึ้นมา 15.4% เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 แสนบาทต่อ ตร.ว. โดยศักยภาพของจุดตัดทั้งสองทำเลแล้ว จะส่งผลบวกกับทำเลในย่านบางโพด้วย
“กลุ่มพฤกษามองเห็นศักยภาพของทำเลบางซื่อ เตาปูน บางโพ โดยได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาแล้ว 4-5 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 9,000 ล้านบาท ราคาที่ดินขยับขึ้นมาต่อเนื่องจากแปลงแรกที่ซื้อในราคาประมาณ 5 หมื่นบาทต่อ ตร.ว. ถัดมาอีก 1 ปี ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่ 2 ราคาขยับขึ้นมาเป็น 9 หมื่นบาทต่อ ตร.ว. ส่วนโครงการที่ 3 ในย่านบางโพ ซื้อตอนโครงการรถไฟฟ้าเริ่มก่อสร้างแล้ว ราคาที่ดินขยับขึ้นไปสูงถึง 1.5 แสนบาทต่อ ตร.ว.”นายประเสริฐ กล่าว
ขณะที่ทำเลบริเวณสถานีบางหว้า ซึ่งจะเป็นจุดตัดของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายตากสิน-บางหว้า กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค จึงมีแนวโน้มที่ทำเลย่านนี้จะคึกคักมาก โดยบริเวณนี้ราคาที่ดินขึ้นไปแรงมาก ไม่ต่ำกว่า 2-2.5 แสนบาทต่อ ตร.ว. จากราคา 9 หมื่น-1.2 แสนบาทต่อ ตร.ว. เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว และปัจจุบันมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อยู่ระหว่างหาซื้อที่ดิน ย่านบางหว้า และพัฒนาโครงการแล้วหลายราย
ด้านนายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์ ที่ปรึกษาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า บริเวณจุดตัดของรถไฟฟ้าต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อของเมืองออกไปสู่ตัวเมืองชั้นนอกของกรุงเทพฯ จะมีผลบวกกับทำเลโดยรอบจะพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัย ของเมืองในอนาคต

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทเรียน AEC กับการลงทุนต่างประเทศของนักอสังหาริมทรัพย์ไทย

ในขณะนี้นักพัฒนาที่ดินไทยกำลังวางแผนออกนอกประเทศกันมาก ปัจจัยแห่งความสำเร็จขึ้นอยู่กับอะไร สิ่งที่ต้องระวังก็คือ การบุกตลาดไทยของนักอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ
ในช่วงปี พ.ศ. 2530-2535 นักพัฒนาที่ดินรายใหญ่ๆ ของไทยทั้งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ขณะนี้ และนักลงทุนรายอื่นต่างมุ่งไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และอื่นๆแต่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีรายใดประสบความสำเร็จกลับมาเลย สาเหตุแห่งความล้มเหลวคงอยู่ที่การขาดพันธมิตรทางธุรกิจที่ดี ขาดการศึกษาตลาดที่ครบถ้วนและดีเพียงพอ
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงกาฐมาณฑุ กรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮจิมินห์ ซิตี มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 พบว่าประเทศต่างๆ กำลังก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะกรุงจาการ์ตาและกรุงมะนิลา แต่เมืองอื่นๆยังค่อยๆ พัฒนาต่อไป
นอกจากนี้ ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งอาเซียน จำนวนเกือบ 100 คน ต่อประเด็นความพร้อมในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี พ.ศ. 2558 และความเห็นเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยพอสมควร
ผลการสำรวจพบว่า ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินในภูมิภาคนี้ ให้ความเห็นว่าเมื่อเทียบสถานการณ์เศรษฐกิจปี พ.ศ. 2553 กับปัจจุบัน56% ประเมินว่าปัจจุบันดีกว่า มีเพียง 7% ที่เห็นว่าแย่ลง ที่เหลือ 36% บอกว่าเหมือนเดิม สำหรับในรายละเอียด ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากบรูไน สิงคโปร์ และไทย มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจยังแทบไม่เปลี่ยนแปลง แต่ประเทศอื่นๆกลับมองว่าสถานการณ์ดีขึ้นเป็นหลัก และเมื่อพิจารณาถึงภาวะเศรษฐกิจในอีก 2 ปีข้างหน้า คือ ปี พ.ศ. 2557 ส่วนใหญ่ 67% บอกว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น มีเพียง 4% ที่คิดว่าจะเลวร้ายลง อย่างไรก็ตาม ผู้แทนจากประเทศไทยส่วนใหญ่เห็นว่าจะยังคงเหมือนเดิม
ในด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ พบว่า 63% คิดว่าสถานการณ์ตลาดดีขึ้นกว่าปี พ.ศ. 2553 อย่างไรก็ตาม ราวๆ ครึ่งหนึ่งของผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากบรูไนและไทย คิดว่าสถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองในไทย และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของบรูไน ยังไม่กระเตื้องขึ้นนั่นเอง และเมื่อพิจารณาถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอีก 2 ปีข้างหน้า คือ ณ ปี พ.ศ. 2557 พบว่าส่วนใหญ่ 66%จากแทบทุกประเทศระบุว่าสถานการณ์น่าจะดีกว่าปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากประเทศไทยยังเห็นว่าตลาดยังจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักใน 2 ปีข้างหน้า ในแง่ของความน่าเชื่อถือทางวิชาชีพหากวิชาชีพแพทย์ได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุดถึง 100% วิชาชีพอื่นจะมีระดับความน่าเชื่อถือกี่เปอร์เซ็นต์ ผลการสำรวจพบว่า ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินประเมินวิศวกรอยู่ที่ 80% ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินเองอยู่ที่ 77% นักกฎหมายอยู่ที่ 75% และนายหน้าอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 68% ทั้งนี้ คงเป็นเพราะอาชีพนายหน้ายังไม่ได้มีการควบคุมอย่างจริงจังในประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนรวมทั้งประเทศไทย
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการเปิด AEC ในปี พ.ศ. 2558 ปรากฏว่า 62% เห็นว่าน่าจะส่งผลในทางบวกต่อประเทศของตนเอง อย่างไรก็ตาม ในประเทศ เช่น ไทย เวียดนาม ดูเหมือนจะมีความห่วงใยเช่นกันต่อการเข้ามาแข่งขันทางการบริการวิชาชีพจากประเทศอื่นและเมื่อถูกถามถึงความพร้อมในการรับมือกับการแข่งขันใน AEC ปรากฏว่าเวียดนามกลับมีความพร้อมที่สุดถึง 86% จาก 100% รองลงมาคือมาเลเซีย ได้ 72% อันดับสามคือไทย 67% และอินโดนีเซีย 63% บรูไนและฟิลิปปินส์ ดูมีความพร้อมต่ำกว่าเพื่อนคือได้ 58% และ 57% ตามลำดับ
ในทางตรงกันข้าม ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ที่ประเทศเพื่อนบ้านจะกรีธาทัพเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากว่ากรุงเทพมหานครมีจำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับกรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮจิมินห์ นอกจากนั้น ในพื้นที่ตากอากาศ เช่นพัทยา สมุย ภูเก็ต และหัวหิน ก็มีต่างชาติสนใจมาลงทุนเป็นจำนวนมากเช่นกัน ดังนั้นนักพัฒนาที่ดินไทยต้องเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันกับชาติอื่นในสมรภูมิของไทยเอง
ที่มา : โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม

ถ้าพูดถึงชีวิตเมืองจะไม่พูดถึงคอนโดคงเป็นไปไม่ได้ ด้วยว่าคอนโดกลายเป็นที่อยู่อาศัยยอดนิยมสำหรับคนสมัยใหม่ ที่ชอบความสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์อิสระ 

จนทำให้ตลาดคอนโดเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ใช่ว่าคอนโดทุกที่จะขายดีเสมอไปซะเมื่อไหร่ เพราะปัจจัยหลักที่ทำให้คนเลือกซื้อคอนโดนั้น นอกราคาสมเหตุสมผล ดีไซน์ที่โดนใจแล้ว เรื่องทำเลที่ตั้ง และสภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ วันนี้เราจึงมี 10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม ในกรุงเทพฯ มาอัพเดท เผื่อว่าใครกำลังมองหาเลือกซื้อคอนโดอยู่จะได้ตัดสินใจกันได้ง่ายขึ้น

อันดับ 10 ย่านบางนา-ศรีนครินทร์
ทำเลย่านถนนบางนา โดยเฉพาะช่วงถนนบางนา กม.3-4 มีศักยภาพที่สูงมากในอนาคตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากเป็นศูนย์พาณิชยกรรมหลากหลายทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และอื่นๆ จุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่เชื่อมต่อพื้นที่สนามบินกับศูนย์กลางธุรกิจชั้นในของกรุงเทพฯ ปัจจัยเอื้อทางข้อกำหนดผังเมืองที่สามารถพัฒนาได้มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ปัจจัยทางด้านโครงข่ายคมนาคมที่เสริมศักยภาพในอนาคต จึงทำให้บางนา-ศรีนครินทร์เป็นหนึ่งในทำเลยอดฮิตที่คนนิยมเลือกซื้อหา แม้ว่าจะดูเหมือนไกล แต่ก็ใกล้ด้วยระบบการขนส่งมวลชนที่สามารถพาคุณเข้าสู่กลางใจเมืองได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย และบริเวณนั้นยังใกล้ศูนย์การค้า เช่น ซีคอนสแควร์ เซ็นทรัล เมคกะบางนา และสถานศึกษาชื่อดัง เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
อันดับ 9 ย่านลาดพร้าว-โชคชัย 4
จุดที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ โดยเฉพาะซอยโชคชัย 4 ที่มีความเจริญมากที่สุดบนถนนลาดพร้าว บริเวณนี้มีแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตั้งแต่ต้นถนนลาดพร้าว เริ่มด้วยเซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนี่ยนมอลล์ โฮมโปร คาร์ฟูร์ บิ๊กซี ลาดพร้าว ฟู้ดแลนด์ ตะวันนา แมคโคร โลตัส รวมถึงเดอะมอลล์บางกะปิที่ตั้งอยู่ปลายถนนลาดพร้าว มีตลาดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งอาหารมากมาย เช่น ตลาดโชคชัย 4 และตลาดสะพาน 2 ที่ช่วยสร้างความคึกคักให้กับบริเวณนี้เป็นอย่างมาก มีแหล่งงานอยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริเวณรัชดา จตุจักร รวมถึงพระราม 9 สุขุมวิท และในย่าน CBD ทั้งนี้ เนื่องจากการคมนาคมที่สะดวกโดยเฉพาะรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานศึกษาชื่อดัง อาทิ โรงเรียนบดินทร์เดชา สิงห์ สิงหเสนีย์ และ โรงเรียนสตรีวิทยา 2 เป็นต้น รวมทั้งสถานพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลลาดพร้าว และโรงพยาบาลเวชธานี เป็นต้น
อันดับ 8 ย่านปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี
ทำเลปิ่นเกล้าถือเป็นประตูสู่เมืองทางทิศใต้และทิศตะวันตก ในอนาคตบริเวณดังกล่าวจะอยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่เปิดให้บริการได้ในปี 2559 โดยจะวิ่งอยู่เหนือถนนจรัญสนิทวงศ์ (หัวลำโพง-บางแค-บางซื่อ) ทำให้เพิ่มความสะดวกในการเดินทางในย่านนี้มากขึ้น การที่บริเวณดังกล่าวอยู่ติดกับฝั่งพระนคร พื้นที่ประวัติศาสตร์ซึ่งมีหน่วยงานราชการที่สำคัญอยู่หลายแห่ง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดโพธิ์ ศาลหลักเมือง และสนามหลวง เป็นต้น อีกทั้งบริเวณปิ่นเกล้าเป็นย่านธุรกิจที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง หรือแม้แต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธนบุรี 1 โรงพยาบาลเจ้าพระยา รวมทั้งมหาวิทยาลัยที่สำคัญเช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยมหิดล จึงถือได้ว่าเป็นอีกทำเลที่พักอาศัยที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
อันดับ 7 พหลโยธิน-สะพานควาย
ทำเลบนถนนพหลโยธินชั้นใน ย่านอารีย์ - สะพานควาย ถือเป็นแหล่งรวมธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้สะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟฟ้า ซอยอารีย์ถือเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติ ท้ายซอยเป็นที่ตั้งของกรมสรรพากรและอยู่ใกล้กับซอยราชครู ซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยของคนนามสกุลเก่าแก่ จึงถือเป็นซอยที่มีบรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่ ส่วนบริเวณปากซอยนั้นค่อนข้างคึกคัก เพราะมีโครงการลาวิลล่า อารีย์ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามซอยอารีย์ ประชิดทางขึ้น-ลงสถานีรถไฟฟ้าอารีย์แบบห่างแค่ปลายจมูก ถือเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่คึกคักทั้งกลางวันและเย็น เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางตึกออฟฟิศจำนวนมาก อาทิ อาคารเอ็กซิมแบงก์, อาคารพหลโยธินเพลส ฯลฯ ถัดไปที่บริเวณแยกสะพานควายมุ่งหน้าข้ามสี่แยกไฟแดง บริเวณนี้ก็ยังคงคึกคักเพราะมีศูนย์การค้าบิ๊กซีตั้งอยู่ จากสะพานควายข้ามแยกมาจะเจอกับตลาดนัดจตุจักร นับว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลน่าอยู่ที่ไม่ควรมองข้าม
อันดับ 6 ย่านอ่อนนุช-พระโขนง
ทำเล "อ่อนนุช-พระโขนง" ยังคงร้อนแรงด้วยข้อได้เปรียบเรื่องทำเลที่มีแนวรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างเขตเองด้านในและเขตเมืองรอบนอก ส่งผลให้ย่านนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมสูงอีกแหน่งหนึ่ง ย่านชุมชนที่คึกคักที่สุดของซอยอ่อนนุชคือบริเวณ "แยกอ่อนนุช" บริเวณหัวถนนฝั่งสุขุมวิทที่มีร้านค้าและตลาดสดตั้งอยู่ และอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุชประมาณ 100-200 เมตรเท่านั้น ในละแวกปากซอยอ่อนนุชและฝั่งตรงกันข้าม เมื่อเข้าไปภายในซอยอ่อนนุชจะพบว่า ฝั่งขวามือมีความคึกคักมาก เพราะมี "บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า" ตั้งอยู่ ร้านค้าบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นแผงขายของกินหรือเปิดเป็นร้านขายอาหาร ร้านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ร้านกาแฟ ร้าน 7-ELEVEN บรรยากาศคึกคักตลอดทั้งวัน และมีรถสองแถว-มอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งให้บริการต่อเนื่อง เสน่ห์ของซอยอ่อนนุชคือเป็นซอยที่มีรถเข้า-ออกตลอดทั้งวัน เพราะเป็นซอยที่สามารถทะลุไปออกถนนศรีนครินทร์ (ช่วงซีคอนสแควร์) ที่บริเวณปากซอยสุภาพงษ์ได้ ขณะที่ซอยอ่อนนุช 17 39 และ 43 ก็ใช้เป็นเส้นทางไปทะลุออกถนนพัฒนาการได้ด้วย
อันดับ 5 ย่านรัชดา-ห้วยขวาง
เป็นทำเลที่มีการสัญจรไปมาได้สะดวก มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน และเป็นจุดเชื่อมต่อกับย่านธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น ถนนอโศก ที่เป็นแหล่งสำนักงาน สถานศึกษา อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า ทั้งเอสพลานาด เซ็นทรัลพระราม 9 รวมถึงอยู่ใกล้โรงพยาบาลชื่อดังหลายแห่ง ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า ย่านรัชดา-ห้วยขวาง จะกลายเป็น New CBD หรือ New Central Business District แห่งใหม่ ในอนาคต
อันดับ 4 ย่านคลองเตย พระราม 4
ทำเลย่านพระราม 4 คลองเตยได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะอยู่ในแนวรถไฟฟ้า ทั้ง BTS, MRTและ แอร์ พอร์ตลิงค์ ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย มีสถานศึกษาชื่อดังอย่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นแหล่งธุรกิจขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพมากแห่งหนึ่ง
อันดับ 3 ย่านตากสิน-กรุงธนบุรี
ย่านตากสิน-ธนบุรี ได้กลายเป็นทำเลทองที่ไม่เคยหยุดความร้อนแรง คอนโดมิเนียมมีให้เลือกมากมาย เพราะอานิสงส์จากรถไฟฟ้าสายสีลม เป็นพื้นที่ที่มีคอนโดมิเนียมมากที่สุด โดยเฉพาะย่านเจริญกรุง เจริญนคร สถานีธนบุรี ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับบน อยู่ติดถนนใหญ่ และด้วยแนวถนนที่ตัดตรงต่อเนื่องจากถนนสาทรโดยตรง ทำให้การเดินทางเข้าเขตศูนย์กลางธุรกิจของพื้นที่ดังกล่าวมีความสะดวกรวดเร็วอย่างยิ่ง จึงเป็นอีกทำเลหนึ่งที่น่าพิจารณา
อันดับ 2 ย่านสีลม-สี่พระยา
ย่านสีลม-สี่พระยา เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝัน โดยเฉพาะในช่วงถนนสีลม ซึ่งเป็นแหล่งออฟฟิศบิวดิ้งชั้นนำหลากหลาย เป็นศูนย์รวมธุรกิจขนาดใหญ่กลางใจเมือง ในส่วนทำเลสามย่านก็ถือเป็นพื้นที่เก่าแก่ของคนไทย ซึ่งคนในพื้นที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายในระดับสูง อยู่ใกล้ศูนย์สถานที่สำคัญทั้งสถานศึกษา ศูนย์รวมสถาบันกวดวิชา ห้างสรรพสินค้า และสะดวกด้วยระบบขนส่งมวลชนที่ครบครัน
อันดับ 1 ย่านพญาไท-ปทุมวัน
พญาไท-ปทุมวัน เป็นทำเลฮอต ร้อนแรง ไม่แพ้ย่านไหนๆ ด้วยถนนสายนี้ไม่เพียงเป็นจุดเชื่อมการเดินทางรถไฟฟ้าสองสาย บีทีเอส-แอร์พอร์ตลิ้งก์ ที่มีคนหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านวันละเป็นหมื่นๆ ใกล้ศูนย์การค้า สถาบันกวดวิชาชื่อดัง อย่างตึกวรรณสรณ์ และสถานที่สำคัญต่างๆ ทำให้ย่านนี้เป็นทำเลทองที่ใครๆ ก็อยากจับจองทั้งนั้น
หากคุณกำลังตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดอยู่ ลองนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการพิจารณาดู เชื่อว่าคุณจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

เผยคนไทยผงาดแถวหน้า ช็อปสินค้าแบรนด์เนม

สำรวจพบคนไทยช็อปกระหน่ำสินค้าแบรนด์เนมติดอันดับ 6 ของโลก ทั้งๆที่ประเทศไม่ใช่มหาอำนาจ ดันยอดซื้อของฟุ่มเฟือยพุ่ง 57% แซงหน้าชาวจีนในตลาดอังกฤษ เหตุเศรษฐกิจโตพรวด

ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงมักมาจากประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ แต่ข้อมูลล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากบริษัทสำรวจตลาดด้านการท่องเที่ยว ระบุว่า ทัวริสต์ชาวไทยได้ทะยานขึ้นมายืนแถวหน้าของโลกในเรื่องการซื้อสินค้าปลอดภาษี

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ นำเสนอรายงานด้วยหัวข่าว "Thai tourists : luxury's new big spenders" อ้างผลสำรวจของ Global Blue ระบุว่า ในรอบปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยได้กลายเป็นนักช็อปอันดับที่ 6 ของโลก รองจากจีน, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย และสหรัฐ

ตลอดระยะเวลา 12 เดือน คนไทยได้จ่ายโอนเงินระหว่างประเทศรวม 376,021 ครั้ง พุ่งขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 57%

เฉพาะในประเทศอังกฤษ นับแค่เดือนมกราคม-พฤษภาคม ชาวไทยซื้อของยี่ห้อดังเพิ่มขึ้น 68% ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวที่แซงหน้าสถิติของชาวจีนที่มีการเติบโต 39%
ชาวไทยได้กลายเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ขยายตัวเร็วที่สุดในตลาดสหราชอาณาจักร ทำให้อังกฤษกลายเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย โดยเฉลี่ยแล้ว ชาวไทยมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 762 ปอนด์ หรือประมาณ 36,000 บาทต่อครั้ง ตัวเลขนี้ได้เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีก่อน 22%

บริษัทสำรวจตลาด โกลบอลบลู วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย, จีดีพีขยายตัว 6.4% เมื่อปีที่แล้ว และยังคงโตต่อเนื่องในปี 2556 ขณะที่เงินบาทเทียบกับสกุลยูโรได้แข็งค่าขึ้น ช่วยเพิ่มกำลังซื้อในต่างประเทศ

นอกจากนี้ อัตราว่างงานยังต่ำแค่ 0.5%, มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ, สนามบินและสายการบินมีการเชื่อมโยงครอบคลุมทั้งเอเชียและทวีปอื่นๆอย่างกว้างขวาง, และอัตราการเกิดของประชากรอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ผู้คนมีภาระน้อยในการเลี้ยงดูบุตร

ด้วยภาวะฟูเฟื่องดังกล่าว ทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยหลายยี่ห้อเข้าไปเปิดสาขาในกรุงเทพ และตามแหล่งท่องเที่ยว ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แบรนด์ขนาดรองๆ เช่น Kenzo, Celine และ Stella McCartney ได้เปิดร้านในไทย ขณะยี่ห้อดังๆ อย่าง Prada ได้ปรับแต่งร้านสาขาตามย่านธุรกิจสำคัญให้ดูหรูหรายิ่งขึ้น

ในอังกฤษ ห้างค้าปลีก Harrods รายงานว่า "พฤติกรรมการจับจ่ายของชาวไทยเหมือนกับชาวจีน ต้องการแบรนด์หรูที่สุด เช่น Chanel, Louis Vuitton และ Hermes. สินค้าขายดีอันดับหนึ่ง คือ กลุ่มน้ำหอมกับเครื่องสำอาง ขณะที่เสื้อผ้าบุรุษกำลังขายดีมากขึ้น"

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นักลงทุนบุก'แม่สอด'รับเกตเวย์ไทย-พม่า

นักลงทุนบุก'แม่สอด'รับเกตเวย์ไทย-พม่า ผุดคอนโด 600 ยูนิต ดันราคาที่ดินพุ่งสูง


กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บุกยึดทำเลทอง "แม่สอด" ประตูหน้าด่านไทย-พม่า ผุดคอนโดมิเนียมเกือบ 600 ยูนิต มูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หอการค้าฯตากระบุเป็นปรากฎการณ์ใหม่ "ลงทุนที่อยู่อาศัยแนวตั้ง" ในหัวเมืองเล็ก พบราคาที่ดินพุ่งพรวดจากไร่ละ 4 ล้าน เป็น 15 ล้าน รับ "ทำเลทอง" อาเซียน ลูกค้าไทย-พม่ากำลังซื้อสูง 
นายวิวัฒน์ กิตติพรพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันเดอร์ วี แอสเสท จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 จะทำให้เมืองการค้าชาย อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการลงทุนสูง นับเป็นทำเลทองทางการค้า-การลงทุน ระหว่างไทย-พม่า ทำให้เกิดความต้องการด้านที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น 
"วันเดอร์ วี แอสเสท เป็นทุนกลุ่มแรกจากเชียงใหม่ที่เข้ามาบุกเบิกตลาดคอนโดมิเนียมใน อ.แม่สอด"
บริษัท ลงทุนกว่า 110 ล้านบาท พัฒนาโครงการวี คอนโด (VEE CONDO) จำนวน 2 อาคาร รวม 140 ยูนิต ราคา 1.29 ล้านบาทขึ้นไป เปิดขายตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขาย 80% เป็นกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ 50% ชาวต่างชาติ 20% ส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนใน อ.แม่สอด 10% สำหรับการก่อสร้างคืบหน้าไปกว่า 10% คาดใช้เวลาในการก่อสร้าง 1 ปี
คอนโดบูมเจาะกลุ่มนักธุรกิจ
นายกัณฑ์อเนก ศรัณย์ชล กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคเอ็น เชียงใหม่ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ มานานกว่า 20 ปี กล่าวว่า ได้เข้าไปลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม และอาคารพาณิชย์ ใน อ.แม่สอด รองรับภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนระหว่างไทย-พม่า 
บริษัทได้ซื้อที่ดินจำนวน 3 ไร่ บริเวณใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย-พม่า เพื่อพัฒนาโครงการลักซ์คอนโด แอท แม่สอด เป็นคอนโด 2 อาคาร ขนาด 7 ชั้น จำนวนรวม 156 ยูนิต กำหนดขายราคายูนิตละ 1.4 ล้านบาทขึ้นไป คาดเริ่มการก่อสร้างเดือน ส.ค. นี้ ใช้เวลาก่อสร้าง 1 ปี พร้อมเปิดการขายในเร็วๆ นี้ เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งในพื้นที่ และนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนใน อ.แม่สอด ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง
ทุนท้องถิ่นลุยลงทุน
นายประพัฒน์พงศ์ อัจฉรารุจิ ประธานกรรมการ บริษัท เสรีกรีน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการท้องถิ่้นเล็งเห็นศักยภาพตลาดที่อยู่อาศัยใน อ.แม่สอด จึงมีการลงทุนโครงการเบส คอนโดมิเนียม มูลค่าลงทุน 120 ล้านบาท บนพื้นที่ ต.แม่ปะ ห่างจากเทศบาลนครแม่สอด ประมาณ 300 เมตร แบ่งการก่อสร้างเป็น 2 อาคาร จำนวนรวม 135 ยูนิต ราคายูนิตละ 1.16 ล้านบาท ขณะนี้เริ่มทำการก่อสร้างแล้วคาดแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2557 พร้อมเปิดขายเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขาย 67% มีสัดส่วนลูกค้าเป็นคนในพื้นที่ จำนวน 30 ยูนิต นักธุรกิจชาวไทย จำนวน 20 ยูนิต และนักธุรกิจชาวพม่า จำนวน 30 ยูนิต 
"ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้ายังมีอยู่จำนวนมาก"
ราคาที่ดินพุ่ง-อาคารพาณิชย์ขยายตัว 200%
ทางด้านนายสมศักดิ์ คะวีรัตน์ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวว่า ปัจจุบันพื้นที่ อ.แม่สอด มีการลงทุนก่อสร้างอาคารพาณิชย์จำนวนมาก คิดเป็นอัตราการขยายตัวกว่า 200% เทียบปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาอาคารพาณิชย์ในพื้นที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากยูนิตละ 1 ล้านบาท เป็นยูนิตละ 4-6 ล้านบาท ส่วน "ที่ดิน" บริเวณถนนเอเชีย จากไร่ละ 4 - 5 ล้านบาท ขยับขึ้นเป็นไร่ละ 13 - 15 ล้านบาท 
พร้อมกันนี้ ยังมีกลุ่มทุนจากส่วนกลางเตรียมเข้ามาลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม อีก 1 แห่ง ขนาด 110 ห้อง บนพื้นที่ 10 ไร่ในเขตเทศบาลเมืองแม่สอด และสำรวจพื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว จำนวน 50 ห้อง อีกด้วย 
"ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน อ.แม่สอดมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการก่อสร้างคอนโดมิเนียมในเมืองขนาดเล็ก ที่เข้ามาลงทุนพร้อมกันร่วม 600 ยูนิตมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท นับเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เป็นโอกาสดีต่อการผลักดันเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของแม่สอดเติบโตแบบก้าวกระโดด" นายสมศักดิ์กล่าว


วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กระบวนทัศน์ใหม่พัฒนาที่อยู่อาศัยไทย

  การเคหะแห่งชาติได้จัดสัมมนานานาชาติ "กระบวนทัศน์ใหม่ของการพัฒนาที่อยู่อาศัยและเมืองในประเทศไทย" โดยร่วมกับองค์กรพัฒนาเมืองระดับสากล PRCUD สหรัฐ เป็นหนึ่งในกิจกรรมครบรอบ40 ปีของการเคหะแห่งชาติ

          การสัมมนานี้เป็นการสัมมนาโต๊ะกลม มีผู้เชี่ยวชาญนานาชาติจากPRCUD และจากไทยร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิธีการดำเนินการ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาที่อยู่และพัฒนาเมืองอย่างกว้างขวาง โดยมีบทสรุปข้อเสนอแนะในหัวข้อต่างๆ ประกอบด้วย

          1.การพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยตามแนวทางการพัฒนาตามโครงข่ายคมนาคมและโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ที่ประชุมเสนอให้การเคหะแห่งชาติพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบริเวณสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนโดยด่วน เพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนรวมทั้งพัฒนากลไกด้านการเงิน เช่น การอุดหนุนข้ามกลุ่มรายได้ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ธนาคารที่ดิน เป็นต้น

          สำหรับการพัฒนาที่ดินบริเวณสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนนั้น การเคหะแห่งชาติควรขยายอาณาเขตพื้นที่ให้เชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนอื่นควรขอเพิ่มการกำหนดสัดส่วนพื้นที่อาคารให้มีความหนาแน่น จากผังการใช้ประโยชน์ที่ดินของกรุงเทพฯ พื้นที่ที่จะพัฒนารอบสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนควรขยายอาณาเขตพื้นที่สถานีเพื่อจัดให้มีสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบ

          ทั้งนี้ โครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติใกล้สถานีฯ ควรจำกัดพื้นที่จอดรถ เพื่อส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยใช้ระบบขนส่งมวลชนพัฒนาพื้นที่ให้เดินเชื่อมต่อกันได้รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนจัดให้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีความสมดุลกับแหล่งงาน และเสนอให้การเคหะแห่งชาติจัดทำโครงการนำร่อง

          2.การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เนื่องจากกฎหมายการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะใช้ในเร็วๆ นี้ สำหรับการร่วมลงทุนเรื่องที่อยู่อาศัยยังเป็นเรื่องใหม่การเคหะแห่งชาติต้องทำความเข้าใจบทบาท และธรรมชาติธุรกิจอย่างถ่องแท้

          เช่น การเจรจา การกำหนดราคา การอุดหนุนและภาษี ซึ่งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนในระยะยาว ดังนั้นภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องไว้วางใจซึ่งกันและกันในการดำเนินการ

          3.การบริหารจัดการเพื่อรองรับภาวะอุทกภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเคหะแห่งชาติควรนำวิกฤตมหาอุทกภัยปี 2554 มาเป็นโอกาสเตรียมความพร้อมรับปัญหาอุทกภัย การบริหารจัดการน้ำเช่น ปรับปรุงทางน้ำ จัดให้มีพื้นที่โล่งและเมืองสีเขียว จัดให้มีสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และออกแบบอาคารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการมีส่วนร่วมระดับชุมชน ผู้กำหนดนโยบาย ผู้พัฒนาสถาบันการเงิน รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และวางแผนชุมชนที่ป้องกันน้ำท่วมได้ การเคหะแห่งชาติควรทำโครงการนำร่องแสดงให้เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ และควรริเริ่มรณรงค์และทำแผนส่งเสริมที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมืองสีเขียวสำหรับไทยในอนาคต

          4.การเงินเพื่อที่อยู่อาศัยไทยจำเป็นต้องทำนโยบายที่อยู่อาศัย การเคหะแห่งชาติควรมีบทบาทกำหนดนโยบายที่อยู่อาศัยของประเทศ การก่อสร้างที่อยู่อาศัย หมายถึงการสร้างงานและการจ้างงาน มีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 10-15 การก่อสร้างที่อยู่อาศัย จึงมิใช่เรื่องการจัดให้มีอุปทานเท่านั้นแต่รวมถึงการตั้งถิ่นฐาน และจัดระเบียบชุมชนด้วย

          การเคหะแห่งชาติควรส่งเสริมภาคเอกชนทำกิจการความรับผิดชอบต่อสังคม จัดให้มีที่อยู่อาศัยแก่พนักงาน ควรร่วมมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์และสถาบันการเงินมากขึ้น ควรพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยกลุ่มเป้าหมายที่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท รอบสถานีระบบขนส่งมวลชน ซึ่งภาคเอกชนยังไม่ได้พัฒนา โดยนำเครื่องมือพัฒนากายภาพและการเงินมาปรับใช้

          5.การพัฒนาเมือง การวางผังเมือง และการพัฒนาระบบบริการขั้นพื้นฐานของเมือง ปัจจุบันเมืองใหญ่ของไทย เช่น กรุงเทพฯ มีลักษณะซับซ้อน มีหน่วยงานเกี่ยวข้องหลายหน่วย ควรศึกษาและพิจารณาสร้างมูลค่าเพิ่มจากการลงทุน สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ นำมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมากระจายคืนสู่ประชาชน การเคหะแห่งชาติควรเจรจากรุงเทพฯ ขอเพิ่มอัตราความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่

          ปัจจุบันนโยบายพัฒนาเมืองยังไม่ชัดเจน อาจต้องพัฒนาถึงรูปแบบเมืองหลายศูนย์กลางและเชื่อมโยงกันด้วยระบบขนส่งมวลชน

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

TGBI จี้ราชการดันแผนแม่บทอาคารเขียว

ไทยโพสต์ * สถาบันอาคารเขียวไทย วอนภาครัฐเข้าดูแล เชื่อผลักดัน กม. "อาคารเขียว" ช่วยประหยัดพลังงาน เผยผังเมืองใหม่กำหนดให้มีพื้นที่สีเขียว แจกโบนัส FAR เพิ่ม 20%

          นายวิญญู วานิชศิริโรจน์ กรรมการและเลขานุการ สถาบันอาคารเขียวไทย (Thai  Green Building  Institute)หรือ  TGBI เปิดเผยว่า สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สภาวิศวกรรมแห่งประเทศไทย (วสท.) ก่อตั้งมูลนิธิอาคารเขียวขึ้น เพื่อดำเนินกิจกรรมภายใต้สถาบันอาคารเขียวไทยซึ่งเป็นองค์กรเอกชน โดยทางสถาบันฯ มีเกณฑ์อาคารเขียวไทย (Trees) เพื่อรับรองอาคารที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยเป็นอาคารที่มีการออก แบบ และก่อสร้างในรูปแบบการประหยัดพลังงาน

          "กระแสอาคารเขียวยังเป็นเรื่องใหม่ สถาบันฯ เป็นเอกชน โดยในปัจจุบันยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ถ้าเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่มีภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อน ดังนั้น มองว่าการที่ภาครัฐจะมาสนับสนุนภาคเอก ชน เชื่อว่าจะสามารถผลักดันแม่ บทกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และอาคารเขียวได้ ในขณะที่ผังเมืองกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ที่เริ่มใช้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีการกำหนดให้อาคารที่มีพื้นที่สีเขียวจะได้รับโบนัสอัตราพื้นที่อาคารต่อพื้นที่ดิน (FAR) เพิ่มขึ้นถึง 20%" นายวิญญู กล่าว

          ด้าน นายโคลิน จี ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาต่างประเทศ สถาบันการออกและการก่อสร้างประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า ปัจจุ บันสิงคโปร์ใช้แผนแม่บทอาคารเขียวแผนที่ 2 โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนการทำอาคารสีเขียว คาดว่า ภายในปี 2030 สิงคโปร์จะมีอาคารเขียว 80% ของอาคารทั้งหมด ซึ่งจะช่วยประหยัดการใช้พลังงานได้มากถึง 35% ของการใช้พลังงานทั่วประเทศ

          นอกจากนี้สถาบันฯ เตรียม จัดงานบิลด์ อีโค เอ็กซ์โป ระหว่างวันที่ 11-13 กันยายน ที่มารินาเบย์ แซนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นงานที่รวมนวัตกรรมด้านวิศวกรรมก่อสร้าง และ การออกแบบอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยี และ จัดการสัมมนาอาคารสีเขียวนานาชาติ รวมไปถึงการออกบูธจากผู้ประ กอบการ 300 ราย จาก 30 ประเทศ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์